ผ่าแผน “พีทีจี” เร่งเครื่องน็อนออยล์-อีวี หลังดีลบางจาก-เอสโซ่ขึ้นแซง

พิทักษ์ รัชกิจประการ 

ผ่าแผนพีทีจีเร่งเครื่องปรับสู่น็อนออยล์ หลังดีลบางจาก-เอสโซ่ขึ้นแซง “พิทักษ์” มองการแข่งขันยังเหมือนเดิม มุ่งแข่งกับตัวเองตั้งเป้า ปี’66 ให้เติบโต 8-12% พร้อมอัดงบฯลงทุน 5-6 พันล้านบาท ปั๊มสาขากาแฟพันธุ์ไทย โตเท่าตัว

วันที่ 17 มกราคม 2565 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ผมมองว่ากรณีที่บางจากเข้าซื้อหุ้นเอสโซ่นั้นคงมีเหตุมีผลในการดำเนินการ ทุกคนคงคิดดีแล้วในการตัดสินใจ

“หากถามถึงผลต่อการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน มองว่าคงมีการแข่งขันเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมา แต่พีทีจีเราไม่แข่งกับใคร แข่งกับตัวเอง เราตั้งเป้าหมายว่าทุก ๆ ปีต้องเติบโตให้มากขึ้นจากเดิม ทั้งจำนวนสาขาสถานีบริการ สมาชิกบัตรแม็กการ์ดที่เราทำได้ 19 ล้านสมาชิกแล้ว ก็ต้องทำต่อไป ปีนี้มีแผนจะเพิ่มจุดดรอปพอยต์จาก 3,000 จุดเป็น 5,000 จุด และปีหน้าเป็น 10,000 จุด เพื่อเป็นพื้นที่เครือข่ายการให้บริการลงลึกถึงชุมชนให้มากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหลังการควบรวม 2 บริษัทย่อมมียอดขายรวมมากขึ้นกว่าเราอยู่แล้ว แต่ด้วยความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนมาร์เก็ตแชร์แต่ละบริษัทก็จะเพิ่มขึ้น และแนวโน้มในอนาคตทุกคนคงมุ่งปรับตัว ลดสัดส่วนธุรกิจน้ำมันไปเป็นน็อนออยล์ พร้อมทั้งขยายสู่การเป็นสถานีชาร์จรถอีวี ซึ่งไม่ว่าจะมีการควบรวมกันหรือไม่ก็ปรับไปในทิศทางนั้นตลอดเวลา

สำหรับการจัดหาน้ำมันนั้น หลังการควบรวมโรงกลั่นบางจากเอสโซ่นั้น มองว่าเดิมเราไม่ได้ซื้อจากบางจาก เพราะเดิมเขาผลิตใช้ภายในไม่พอขายอยู่แล้ว เราก็กระจายไปหลาย ๆ โรงกลั่น แต่หลังจากควบรวมแล้วหากกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น ก็เป็นไปได้อาจจะมีการขายออกมา

ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจปี 2565 ยอดขายเพิ่มขึ้น 6-10% จากปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากธุรกิจน้ำมัน กาแฟพันธุ์ไทย และแอลพีตีเติบโตมากขึ้น

ส่วนปี 2566 พีทีจีตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้จากยอดขาย เพิ่มขึ้น 8-12% จากปี 2565 จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัว 3-4% โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจน้ำมันยังเป็นธุรกิจหลัก ขณะที่ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยคาดว่าจะมีการเติบโต 100%

ทั้งนี้ บริษัทวางงบประมาณในการลงทุน 5,000-6,000 ล้านบาท เพื่อมุ่งเพิ่มสัดส่วนธุรกิจน็อนออยล์โดยเฉพาะมีแผนขยายสาขา เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 600-700 สาขาในปี 2565 จะเพิ่มเป็น 1,500 สาขาส่วนธุรกิจน้ำมันนั้นมีแผนการขยายสาขา 50-70 สาขาจากปัจจุบันที่มี 2,200 สาขา

“ธุรกิจน้ำมันยังเป็นธุรกิจหลัก แต่การขยายสาขาจะไม่เน้นมากเท่ากับน็อนออยล์ เห็นจากงบประมาณการขยายสาขาปั๊มที่เราวางไว้ 1,500 ล้านบาท/ปี จากเดิมปีก่อน ๆ ที่เราจะวางไว้ 2,500-3,000 สาขา/ปี”

พร้อมกันนี้จะขยายในส่วนของธุรกิจก๊าซหุงต้มพีที ตั้งเป้าให้โต 50-60% โดยเฉพาะประเภทถังที่มุ่งขยายตลาดกลุ่มลูกค้าที่เป็นครัวเรือน และขยายสาขาสถานีชาร์จอีวีร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ประมาณที่ 50-60 สถานี

สำหรับความท้าทายในปีนี้จากซัพพลายน้ำมันที่ค่อนข้างจะตึงตัว ส่วนหนึ่งเพราะมีโรงกลั่นน้ำมันหยุดซ่อมตามรอบ และอีกส่วนเป็นผลจากการดึงน้ำมันไปใช้ผลิตไฟฟ้าแทน LPG มากขึ้น ซึ่งทางพีทีจเดิมไม่ได้สต๊อกน้ำมันจำนวนมากนัก เฉลี่ยการสต๊อกอยู่ที่ 2-3 วัน เพราะเรามองว่าโลจิสติกส์สะดวก ไม่ต้องสต๊อกมากนัก แต่ประเมินว่าไม่มีปัญหา เพราะประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์-ปลายเดือนกุมภาพันธ์ จะเข้าสู่ภาวะปกติ

“ส่วนดีลบางจาก-เอสโซ่นั้นอาจจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น จำนวนสาขามากขึ้น คงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งกว่าจะสรุปและยังต้องมีการเปลี่ยนผ่านอีก 2 ปี ยังไม่ใช่เรื่องง่ายมีอีกหลายขั้นตอน เช่น ต้องทำความเข้าใจกับพนักงาน และลูกค้าอีก เราก็เตรียมทำแผนรองรับไว้แล้ว”