USDA ชี้ครึ่งปีหลังพืชน้ำมันโลกทะลัก ฉุดราคาน้ำมันปาล์มดิ่ง ไทยเร่งสปีดส่งออก

ปาล์ม
PHOTO : PIXABAY

USDA คาดครึ่งปีหลังผลผลิตพืชน้ำมันโลกเพิ่มขึ้น หวั่นราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกดิ่ง ครม.ไฟเขียวผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มลดผลผลิตส่วนเกินปี 2566 สกัดสต๊อกล้น หลังยอดส่งออก 5 เดือนทะลุ 5.70 แสนตันแล้ว

วันที่ 7 มิถุนายน 2566 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการคาดการณ์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) ณ เดือนพฤษภาคม พบว่าผลผลิตพืชน้ำมันโลก (ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน เรพซีด ฯลฯ) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม จึงทำให้ราคาพืชน้ำมันรวมถึงราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างกิโลกรัมละ 26.00-28.00 บาท

ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศเฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งระดับราคาดังกล่าว ไทยไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาในตลาดโลก จึงส่งผลทำให้สต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 0.350-0.400 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าระดับสต็อกปกติ และจะมีผลกระทบต่อราคาที่เกษตรกรได้รับ

ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้รับทราบโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2566 ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) 1/2566 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ซึ่งเป็นมาตรการคู่ขนานของโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมันที่กิโลกรัมละ 4 บาท

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายลดน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกิน จำนวน 150,000 ตัน ด้วยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการในอัตรากิโลกรัมละ 2.00 บาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1) ระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 300,000 ตัน และ 2) ราคาน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าราคาตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นและทันต่อสถานการณ์ จึงได้กำหนดระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบขั้นต่ำไว้ที่ 250,000 ตัน โดยให้เป็นอำนาจของ กนป. เป็นผู้พิจารณาระดับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเหมาะสมที่จะใช้ในการพิจารณาสนับสนุนค่าบริหารจัดการการส่งออกต่อไป

สำหรับสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้ปาล์มน้ำมันของไทย ปี 2566 (ข้อมูลพยากรณ์ ณ เมษายน 2566) ซึ่ง สศก. คาดการณ์ว่าจะมีเนื้อที่ให้ผล 6.252 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีจำนวน 6.150 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 1.66% ผลผลิตปาล์มน้ำมันรวม 19.892 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มีจำนวน 19.061 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.36%

สำหรับผลผลิตปาล์มน้ำมัน 19.892 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนน้ำมันปาล์มดิบ 3.581 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2565 ที่มีจำนวน 3.431 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4.37%

โดยผลผลิตในรูปน้ำมันปาล์มดิบจะทยอยออกสู่ตลาดเฉลี่ยเดือนละ 0.264-0.330 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 0.225 ล้านตัน จึงส่งผลทำให้มีน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินสะสมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 0.039-0.105 ล้านตัน

“ในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกยังทรงตัวในระดับสูง จึงส่งผลทำให้ไทยยังสามารถส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง โดยช่วงมกราคม-พฤษภาคม 2566 ไทยส่งออกน้ำมันปาล์มดิบได้รวม 5.70 แสนตัน และคาดว่าถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม จะมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ 2.66 แสนตัน จากระดับสต๊อกปกติอยู่ที่ 3 แสนตัน”

นอกจากการผลักดันการส่งออกแล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสำคัญในเรื่องของเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน การตัดปาล์มคุณภาพ หรือการตัดปาล์มสุก เพื่อเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรได้ เพราะอัตราการสกัดน้ำมันปาล์มทุก ๆ 1% ที่เพิ่มขึ้น เกษตรกรจะได้ราคาเพิ่มขึ้นอีกกิโลกรัมละ 0.30 บาท

และเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าเศรษฐกิจแล้ว พบว่าอัตราการสกัดน้ำมันปาล์ม ที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้มูลค่าเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาท

รวมถึงการเร่งผลักดันตามแนวทาง BCG โดยเฉพาะเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM)

การใช้คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญให้ทุกประเทศที่ต้องการส่งออกสินค้าไปกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปต้องถือปฏิบัติ (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ตลอดจนส่งเสริมการใช้คาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน ซึ่งไทยได้กำหนดเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 อีกด้วย