ค่าไฟแพง “พีที” ทุ่มงบติดโซลาร์ 500 ปั๊ม

โซลาร์รูฟ พีที

ค่าไฟพุ่ง “พีที” ทุ่มงบฯ ปั๊มละ 1 ล้าน ติดโซลาร์รูฟ 500 ปั๊ม ช่วยประหยัดได้ 25% ครึ่งปีหลังเร่ง “รีโนเวตปั๊ม” กระตุ้นยอดค้าปลีกน้ำมันได้อีก 30% เดินหน้าขยายสาขาตามแผน 50-80 สาขา เล็งที่ดินทำเลงามในเมือง

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนงานด้านธุรกิจน็อนออยล์ครึ่งปีหลังว่า พีทีได้มีการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาปั๊ม

โดยติดตั้งไปแล้ว 35 ปั๊ม และกำลังขยาย 60 สาขาอยู่ระหว่างติดตั้ง และที่อยู่ในแผนอีก 60 สาขา ทั้งยังมีแผนจะดึงพันธมิตรใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานมาเสริม

“ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงทำให้เราเร่งเรื่องการติดโซลาร์มากขึ้น ซึ่งในการติดตั้งโซลาร์ลงทุนประมาณสาขาละไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่สามารถประหยัดไฟฟ้าได้จริงปริมาณ 20% -25% สำหรับเป้าหมายการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟที่สถานีบริการพีทีอาจจะไม่จำเป็นต้องติดตั้งทั้งหมดประมาณ 2,100 สาขา อาจจะติดตั้งได้อย่างน้อย 400-500 สาขา

โดยเราจะพิจารณาจากปริมาณการใช้ไฟฟ้า เน้นไปที่ปั๊มที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นปั๊มในเมือง ส่วนปั๊มต่างจังหวัดซึ่งไม่ได้มีการขยายร้านค้า การใช้ไฟฟ้าไม่มาก คงไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะว่ามีแค่เพียงการจ่ายน้ำมัน ซึ่งจะใช้ไฟฟ้าไม่มาก”

ขณะที่แผนการขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันนั้น ในปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 50-80 สาขา แต่บริษัทจะหันไปเน้นการรีโนเวตปรับปรุงสถานีบริการน้ำมัน โดยเฉพาะในเส้นทางหลัก เพราะได้มีข้อมูลที่พิสูจน์แล้วว่าการปรับปรุงสถานีบริการ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 10-30%

“ปั๊มไหนเป็นปั๊มธรรมดารื้อใหม่ ปรับโฉม ตอนนี้ธงของเราไม่ได้เน้นการขยายสาขามาก ปีนี้ตั้งเป้าหมายขยายแค่ 50-80 สาขาเท่านั้นเอง เพราะการไปหาพื้นที่ใหม่ต้องเป็นพื้นที่ที่ดีจริง ๆ และจะหันมาขยายสาขาในเมืองมากขึ้นจากเดิมที่เราเติบโตในต่างจังหวัด ส่วนยอดขายทาร์เก็ตไว้ 8-12%”

ส่วนด้านอาหารและเครื่องดื่มยังชูแบรนด์พันธุ์ไทย ยังไม่ได้มีการอินเวสต์อะไร เพราะร้านอาหารค่อนข้างจะยาก เราไม่ได้มีศักยภาพด้านนั้น แต่ก็ไม่ทิ้ง เพราะเรายังมีสาขาธุรกิจที่มุ่งไปทาง health and wellness อยู่เช่นกัน

ส่วนการขยายสาขาสถานีชาร์จอีวี แม้ว่ายอดขายรถอีวีจะเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ต้องเพิ่มจำนวนสาขาให้เร็วขึ้น

นายรังสรรค์กล่าวว่า ภาพรวมการใช้งบประมาณการลงทุนในส่วนของสถานีบริการปีนี้ 1,500-2,000 ล้านบาท จากเดิมเคยลง 3,000-3,500 ล้านบาท โดยเราหันไปปรับเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจน็อนออยล์ จาก 500 เป็น 2,000-2,500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,000-2,000 ล้านบาท

“ทิศทางครึ่งปีหลังยังดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ภาพรวมอื่น ๆ ไม่กังวล เติบโตแน่นอน ปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลัง เรื่องการเมืองยังต้องรอความชัดเจนด้านนโยบาย”

รังสรรค์ พวงปราง
รังสรรค์ พวงปราง

“นโยบายตรึงดีเซลที่เดิมจะสิ้นสุด 20 ก.ค. 2566 ตอนนี้เลื่อนไปแล้ว 2 เดือน หลังจากนี้รัฐบาลใหม่ก็คงจะมาศึกษาแนวทางว่าจะทำอย่างไร แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เอกชนกังวลมาก เพราะว่าไม่น่าจะมีรัฐบาลไหนที่จะปรับราคาขึ้นถึง 5 บาท ประชาชนรับไม่ได้ หากจะปรับก็คงปรับทีละสเต็ป คุณต้องคอนเวิร์ส หรือจากเมื่อก่อน เมื่อกองทุนน้ำมันไม่มีคุณก็ต้องลดจากภาษี

ตอนนี้เค้าเริ่มเก็บกองทุนน้ำมันขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างนี้คุณก็ไปลดกองทุนน้ำมัน แล้วก็สวิตชิ่งไปเป็นภาษีแทน ก็เท่าเดิม ปกติใช้กลไกแบบนี้ ซึ่งมั่นใจว่าภาครัฐและภาคเอกชนเราดูลูกค้าเป็นหลัก เพราะคิดว่าประชาชนทุกคนเดือดร้อน ลูกค้าเราเดือดร้อนก็อยู่ไม่ได้”

สำหรับภาพรวมตลาดค้าปลีกน้ำมัน หลังจากกรณีบางจากควบรวมเอสโซ่นั้น มองว่า “น่าจะรวมได้ และน่าจะเป็นผลบวกของตลาด” เพราะผู้ประกอบการคนไทยด้วยกันสามารถประสานงานกันได้ง่าย

“ตอนนี้ซัพพลายโรงกลั่นบางจากล้นก็ต้องขายพีที เพราะเดิมบางจากไม่มีการผลิตเหลือขายข้างนอก พอได้เอสโซ่มา ก็เกิน ซึ่งเราซื้อเอสโซ่อยู่แล้ว ก็ต้องมาขายเรา แต่เราจะซื้อหรือไม่ซื้ออีกเรื่องหนึ่ง เพราะเราก็มีโรงกลั่นอื่น ที่จะขายเราก็มี ส่วนภาพรวมส่วนแบ่งตลาด หากแยกในส่วนของ ปตท.ที่มีส่วนแบ่งตลาด 30-40% ออกเท่ากับพีทีกับบางจากรวมกันก็ไม่ถึง 75% อยู่แล้ว เชื่อมั่นว่าจะมีการถ่วงดุลกัน แตกต่างจากธุรกิจโทรคมนาคม”

ประเด็นเรื่องค่าการตลาด หลายฝ่ายอาจจะมองว่าแพง แต่หากเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้จะเห็นความจริงว่าไม่ใช่ เพราะสัดส่วนรายได้และกำไรจากธุรกิจไม่ได้สูงอย่างที่พูดกัน ต้องทำความเข้าใจว่าน้ำมันเท่าไร ธุรกิจอื่นเท่าไร ซึ่งหากแยกดูเฉพาะน้ำมันน่าจะแทบไม่เหลืออะไร หรือขาดทุน และก่อนหน้านี้ให้ลดค่าการตลาดลง มาถึงตอนนี้ค่าการตลาดไม่ถึง 2 บาท อยู่ที่ 1.80 บาท ทุกอย่างเป็นข้อมูลที่ปรากฏจากที่เราเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ

รายงานข่าวระบุว่า เมื่อต้นปี 2566 พีทีตั้งเป้าใน 5 ปีข้างหน้า ปี 2027 (2579) จะมี retail oil market share กว่า 25% จากปัจจุบันที่เป็นอันดับ 2 ตลาด มีสัดส่วน 17% สำหรับแผนการลงทุนปี 2566 วางงบประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ในธุรกิจน้ำมัน 1,000-1,500 ล้านบาท ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (non oil) 2,000-2,500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,500-2,000 ล้านบาท

โดยจะขยายสาขาสถานีบริการจาก 2,149 สาขา เป็น 2,206 สาขา จุดทัชพอยต์น็อนออยล์จาก 1,526 เป็น 2,748 สาขา ธุรกิจ LPG จาก 484 สาขา เป็น 547 สาขา กาแฟพันธุ์ไทยจาก 511 สาขา เป็น 1,500 สาขา