ทุเรียนไทยแห่ใช้สิทธิ FTA ส่งออกจีน 4 เดือน พุ่ง 2,022 ล้านเหรียญ

ทุเรียน

กรมการค้าต่างประเทศ เผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ในเดือนมกราคม-เมษายน ของปี 2566 รวม 4 เดือน มีมูลค่ารวม 2,022 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าขึ้นแท่นอันดับ 1 คือ ทุเรียนสด

วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2566 จำนวน 12 ฉบับ มีมูลค่ารวม 25,831.09 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิสูงถึง 74.75%

โดยทุเรียนสดเป็นสินค้าอันดับ 1 ที่มีการใช้สิทธิ FTA ส่งออกไปจีนภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน มีมูลค่าสูงถึง 2,022.84 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มสูง 85.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีมูลค่า 1,091.57 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามผลผลิตและความนิยมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง

โดยกรมการค้าต่างประเทศได้มีการลงพื้นที่เพื่อเข้าถึงผู้ประกอบการไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ให้ทราบถึงการใช้ประโยชน์จากการใช้สิทธิ FTA โดยเฉพาะทุเรียนสดที่ส่งออกไปจีนจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และกรอบความตกลง RCEP ซึ่งถือเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี

ส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก

สำหรับกรอบความตกลง FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

อันดับ 1 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน มีมูลค่า 9,451.21 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 73.35% โดยเป็นการใช้สิทธิส่งออกไป อินโดนีเซียสูงสุด โดยมูลค่า 2,553.09 ล้านเหรียญสหรัฐ มาเลเซีย มูลค่า 2,227.59 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม มูลค่า 2,157.04 ล้านเหรียญสหรัฐ และฟิลิปปินส์ มูลค่า 1,577.44 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ (น้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน) น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ รถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (1,500-3,000 cc) น้ำมันปิโตรเลียมและน้ำมันจากแร่บิทูมินัส เป็นต้น

อันดับ 2 ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มีมูลค่า 7,850.90 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 92.40% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ทุเรียนสด ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มันสำปะหลัง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง น้ำตาล ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด และชิ้นเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็ง เป็นต้น

อันดับ 3 ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มีมูลค่า 2,117.61 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 69.67% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง เนื้อไก่แช่เย็นจนแข็ง เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช กุ้งปรุงแต่ง กระสอบและถุงทำด้วย โพลิเมอร์ของเอทิลีน ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง เป็นต้น

อันดับ 4 ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มีมูลค่า 1,875.14 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 67.41% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) รถยนต์ขนส่งบุคคลขนาด 2,500 cc ขึ้นไป และขนาด 1,000-1,500 cc ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ และปลาทูน่าปรุงแต่ง เป็นต้น

อันดับ 5 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มีมูลค่า 1,681.15 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 62.72% โดยสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง และมีการขยายตัวของการใช้สิทธิ อาทิ ลวดทองแดง สารประกอบออร์แกโน-อินออร์แกนิก ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศ เครื่องรับสำหรับวิทยุกระจายเสียง โพลิ (ไวนิลคลอไรด์) และฟอยล์อะลูมิเนียมที่มีความหนาไม่เกิน 0.2 มิลลิเมตร เป็นต้น

ใช้สิทธิความตกลง RCEP

สำหรับความตกลง RCEP ในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 มีการส่งออกไปยัง 10 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา มีมูลค่าการใช้สิทธิ รวม 421.99 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 106.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง เครื่องดื่มชูกำลัง มันสำปะหลังเส้น หัวเทียน เลนส์ ปริซึม กระจกเงา ฟล็อก ผงสิ่งทอ และมิลเน็ป เป็นต้น

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้กับประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายที่ความตกลง RCEP ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ด้วย ส่งผลให้ขณะนี้ ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับทุกประเทศสมาชิกครบทั้ง 15 ประเทศเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีที่ผู้ส่งออกไทยได้มีทางเลือกในการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ต่าง ๆ ที่ไทยมีอยู่ได้มากขึ้น

โดยหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ผู้ส่งออกสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทร.สายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชั่น ชื่อบัญชี “@gsp_helper”