CKP-BEM ชูโมเดลใหม่ “รถไฟฟ้า“ พลังงานโซลาร์

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเทรนด์ที่ทุกประเทศต่างให้ความสำคัญ โดยการปรับเปลี่ยนแผนการใช้พลังงานจากฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ

จากข้อมูลองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency : IEA) ประเมินว่าภายในปี 2569 กว่า 95% ของการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าทั่วโลกจะเป็นการผลิตโดยใช้พลังงานหมุนเวียน โดยกว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์)

“พลังงานจากแสงอาทิตย์” คือ แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกที่สุดของโลก เป็นที่คาดการณ์ว่าในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้านี้ ความต้องการพลังงานในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยได้มีการวิเคราะห์ว่าภาคการขนส่งจะเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน และสูงกว่าภาคอุตสาหกรรม

เมืองไทยซึ่งมีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ลดลง จากทำเลที่ตั้งอยู่ในแถบเขตเส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีแสงแดดตลอดทั้งปี ส่งผลให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการส่งเสริมการใช้โซลาร์ในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น ครัวเรือน อุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่ง

ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของอาเซียน และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ผู้ให้บริการขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ามหานครสองสายในกรุงเทพฯและทางด่วน ได้ลงนามใน “ข้อตกลงประวัติศาสตร์” ที่จะนำไปสู่การใช้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าระบบรางครั้งแรกในประเทศไทย

CKP-BEM

นำร่องสายสีน้ำเงิน-ม่วง

ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ กล่าวว่า เรามุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของประเทศไทยไปสู่พลังงานสะอาดและช่วยให้ประเทศของเราบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และยังช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับเราอีกด้วย

สำหรับข้อตกลงนี้ เป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างสองบริษัทในการนำองค์ความรู้และทรัพย์สิน เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ซึ่งมีระยะทางกว่า 71 กิโลเมตร ให้บริการขนส่งมวลชน 54 สถานีทั่วกรุงเทพฯ

โดยภายใต้ข้อตกลงนี้จะมีพื้นที่ที่จะใช้รับพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้ามีทั้งหมด 6 จุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 106,000 ตารางเมตร อาทิ หลังคาของศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า อาคารที่จอดรถ และอาคารสำนักงานของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง

“โครงการนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งทั้งสององค์กรกำลังศึกษาแผนงานในการก่อสร้างและต่อยอดจากความร่วมมือประวัติศาสตร์นี้ เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำพลังงานจากแหล่งหมุนเวียนมาใช้กับระบบขนส่งที่กำลังเติบโตขยายตัว และมีความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” ดร.สมบัติกล่าว

ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์

CKP หนุนพลังงานหมุนเวียน

สำหรับซีเค พาวเวอร์เป็นที่รู้จักกันดีในนามผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค มีองค์ความรู้เฉพาะทางที่กว้างขวาง

โดยในปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของซีเค พาวเวอร์ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้แก่ประเทศไทยทั้งสิ้น 9,767 กิกะวัตต์ชั่วโมง หรือประมาณ 4.5% ของไฟฟ้าที่ใช้ภายในประเทศทั้งหมด ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจก ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศลดลงได้ราว 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 3,627 เมกะวัตต์ โดย 93% ของกำลังการผลิตมาจากพลังงานหมุนเวียน

ปัจจุบันซีเค พาวเวอร์มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อยู่ทั้งหมด 9 แห่ง โดยมีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ บางเขนชัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท

CKP พร้อมก่อสร้าง ก.พ. 67

นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ข้อตกลงนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางรางของประเทศไทยในขอบเขตการทำงานขนาดใหญ่ เรารู้สึกภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่บุกเบิกนำไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การร่วมมือกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีการใช้งานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญ ในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตลอดจนดูแลเรื่องความพร้อมในการจ่ายไฟและการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร พร้อมรองรับการขยายความร่วมมือในอนาคต

ธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์
ธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์

“โดยคาดว่างานออกแบบจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2567 และจะเริ่มงานก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน และจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนสิงหาคม 2567 ให้กับรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง และจะทยอยส่งมอบจนเต็มระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งสัญญาความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 25 ปี โดยจะมีการผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนระบบรถไฟใต้ดินในปริมาณมหาศาลถึง 452 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 12% ของไฟฟ้าที่ประเมินว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับสายสีม่วงต้องใช้รวมกันทั้งหมด” นายธนวัฒน์กล่าว

ชูโมเดล “เยอรมัน”

นายธนวัฒน์กล่าวสรุปว่า ความร่วมมือนี้ มีศักยภาพที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียน หากโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอื่น ๆ จะหันมาดำเนินกลยุทธ์ในลักษณะเดียวกัน ดังเช่นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเยอรมัน ที่เป็นผู้ใช้พลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนี

“โครงการเหล่านี้เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 3 ปี ที่ทางซีเค พาวเวอร์ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี 2565 ที่จะขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในปี 2567 พร้อมกับเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 2,000 เมกะวัตต์ เป็น 4,800 เมกะวัตต์ โดยกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังลม และพลังน้ำ โดยปัจจุบันซีเค พาวเวอร์คือบริษัทที่มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ 93% สูงที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย” นายธนวัฒน์กล่าว