
อุตสาหกรรม “เหล็ก” เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเหล็กต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากการทะลักของเหล็กที่ผลิตจากจีนเข้ามาทุ่มตลาด
แต่ล่าสุดความท้าทายใหม่ ที่ผู้ผลิตเหล็กต้องเตรียมรับมือจากการที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และก้าวไปสู่จุดหมายหลักคือ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ net zero” ทำให้หลายประเทศเริ่มจากสหภาพยุโรป (อียู) ตัดสินใจออกมาตรการภาษี คาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)
เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน อียู ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 โดยมี “สินค้าเหล็ก” เป็น 1 ใน 5 กลุ่มสินค้านำร่องร่วมกับซีเมนต์ ไฟฟ้าและไฮโดรเจน ปุ๋ย และอะลูมิเนียม จะต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ซึ่งหลังจากนี้ยังมีเวลา 2 ปีในการปรับตัว ก่อนที่จะมีการอัพเกรดประกาศใช้มาตรการทางภาษี CBAM อุตสาหกรรมเหล็กไทยจึงต้องตื่นตัวและเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลก
เซฟโรงงานเหล็กไทย
ภายในงานเสวนาเรื่องความท้าทายของอุตสาหกรรมเหล็กไทยในบริบทใหม่ จัดโดยสถาบันเหล็กในโอกาสครบรอบ 25 ปี “นายเกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการผลิตเหล็กของไทยยังไม่เต็มประสิทธิภาพการผลิต มีการใช้กำลังการผลิตไม่เกิน 30% ปัญหาคือ เราเจอคู่แข่งต่างชาติที่นำเข้าเหล็กราคาถูก รวมถึงยังมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตและการขาดกระบวนการผลิตเหล็กต้นน้ำ
“เรามีผู้เล่นไม่กี่รายที่เป็นรายใหญ่ที่เราต้องรักษาไว้ เพราะเป็น supply chain security ของประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างไร เพราะเป็นอุตสาหกรรมเหล็กใหญ่เกินกว่าเอกชนจะวิ่งขาเดียว จึงต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือ subsidy จากรัฐ”
สถาบันเหล็กฯชี้อีก 2 วิกฤตแน่
ขณะที่ นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อํานวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ฉายภาพว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการบริโภคเหล็กปีละเฉลี่ย 19 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าปีละ 500,000 ล้านบาท ส่วนการค้าเหล็กสําเร็จรูปของไทยในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 2566 มีการนําเข้าทั้งสิ้น 5.89 ล้านตัน ขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 208,485 ล้านบาท (6,056 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยครึ่งแรกของปีนี้ อัตราการใช้กําลังการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ อยู่ที่ 32% เท่านั้น นั่นแสดงถึงยังมีกําลังการผลิตที่เหลือมากพอที่จะตอบสนองความต้องการในประเทศได้
“อีกปัญหาคือประเทศจีนผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลกเองมีการใช้กําลังการผลิตในระดับสูงช่วงต้นเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 37% สูงที่สุดในรอบหลายปี ทว่าอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนย่ำแย่ เกิดการระบายสต๊อกสินค้าส่วนเกินในประเทศจนเกิดปัญหา over supply ในหลายประเทศ ซึ่งไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เช่นกัน”
และในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ที่จะถึงนี้อียูได้เริ่มประกาศใช้มาตรการ CBAM ในอุตสาหกรรมเหล็กนับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมถูกบังคับให้ต้องส่งรายงานการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ก่อนในช่วง 2 ปีแรก จากนั้นในอนาคตหากมีการใช้มาตรการนี้อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ตลาดโลกจะมีสินค้าเหล็กจำนวนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอนที่ไม่สามารถนําเข้าไปยังอียูรวมถึงในหลายประเทศเองไม่ว่าจะสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเองก็เตรียมออกมาตรการทางภาษี
“การผลิตเหล็กในประเทศไทยเริ่มต้นการผลิตจากการรีไซเคิลซึ่งปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ประกอบกับโรงงานเหล็กในประเทศไทยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการควบคุมมลพิษของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เข้มงวดอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่เป้าหมาย net zero อย่างเต็มรูปแบบ จะต้องมีการส่งเสริมด้านเงินทุนและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ตลอดจนการสนับสนุนเรื่องพลังงานสีเขียว เพื่อพาอุตสาหกรรมเหล็กให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
เหล็กไทยต้องปรับตัว
ในมุมมอง “นายวิน วิริยประไพกิจ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการ CBAM คือจุดเริ่มต้นปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังจะตามมาอีกมาก เพราะโลกจะเปลี่ยนตามมาตรฐานของอียู
และนับวันการใช้มาตรการ CBAM จะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่เราจะตายไม่ใช่เพราะ climate change แต่จะเป็นเพราะ climate action หากเราไม่มีหนทางที่จะเดินหน้าและจุดหมายที่แน่ชัดของอุตสาหกรรมเหล็กที่จะเปลี่ยนผ่านจาก grey steel มาสู่ green steel ได้
กรณีนี้จะคล้ายกับกรณีที่ชาร์จแบตของแบรนด์ Apple จากเดิมเป็น lightening แต่พออียูออกมาตรการ common charger ขึ้นก็เปลี่ยนเป็น USB-C ทั้ง ๆ ที่ Apple ถือเป็นบริษัทระดับโลก หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ก็ยังเอามาจากกฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของอียู (General Data Protection Regulation หรือ GDPR) ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น Brussels effect
นับว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากว่าอุตสาหกรรมเหล็กจะฝ่าความท้าทายครั้งนี้ไปได้อย่างไร จากที่ผ่านมาปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กไทยก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสูง เพราะไม่มีเหล็กต้นน้ำในประเทศ ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศสูง นอกจากนี้การเปิดเสรีการค้าทำให้ต่างชาติเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย เหล็กราคาถูกจากจีนและเวียดนามตีตลาดไทย
ขณะที่สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (local content) ศักยภาพการแข่งขันของผู้ผลิตยังไม่เพียงพอ ความท้าทายครั้งนี้จึงนับว่าเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ต้องแก้
เศรษฐกิจไทย ฝ่า Perfect Storm
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขณะนี้ว่า perfect storm พายุลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาสที่ 2 เหลือ 1.8% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.1%
ขณะที่มูลค่าการส่งออกติดลบ 10 เดือนติดต่อกัน ภาคการส่งออกซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย คิดเป็น 60% ของจีดีพีประเทศ เข้าสู่ภาวะ “เดี้ยง”
จากวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวเพียง 2.5-3% ขณะที่หนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/2566 เพิ่มขึ้นเป็น 90.6% ต่อจีดีพี และหากนับรวมหนี้นอกระบบอีก 19.8% จะเป็น 110% ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่กดทับกำลังการซื้อของประเทศที่จะเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ถ้าไม่แก้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมี ปัญหาเรื่องภัยแล้ง หรือเอลนีโญ น้ำในเขื่อนไม่เพียงพอ ซึ่งนอกจากจะกระทบกับภาคเกษตรแล้ว ยังกระทบกับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงต้องมีการเตรียมพร้อมและวางแผนจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ
ตลอดจนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับขึ้นจาก 0.25 เป็น 2.25% ซึ่งนับเป็นดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 9 ปี แต่ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้แจ้งมาว่า จะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งล่าสุดเพราะธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง แต่อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสที่จะขยับดอกเบี้ยขึ้นอีกในปลายปีนี้
“ตอนนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นที่ตอนนี้ไปแตะ 90 เหรียญแล้ว เนื่องจากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมัน OPEC+ และรัสเซียที่แต่เดิมขอสิ้นสุดเดือนนี้ แต่ตอนนี้ได้ขยายเวลาไปจนถึงปีหน้าเพื่อพยุงราคาทำให้ปีหน้าราคาน้ำมันอาจจะเด้ง รวมถึงหน้าหนาวที่กำลังมาถึงเป็นช่วงพีกอีก ทำให้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะพุ่งไป 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งไทยก็เป็นผู้นำเข้า ทว่าค่าเงินบาทกลับอ่อนค่า แม้จะดีสำหรับผู้ส่งออก แต่ตลาดส่งออกก็ไม่ดี มิหนำซ้ำยังโดนเด้งที่สองเรื่องการนำเข้าน้ำมัน ทำให้ยิ่งค่าเงินบาทอ่อนเท่าไหร่ ค่าเงินเฟ้อยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น”