ฟาร์มขอ “พาณิชย์” ชะลอคำสั่งลดราคา เหตุขาดทุนสะสมอาหารสัตว์แพง หมูเถื่อนถล่ม

ผู้เลี้ยงหมูวอน “ภูมิธรรม” รมว.พาณิชย์ ชะลอสั่งลดราคา เหตุภาคปศุสัตว์ ขายขาดทุน จากต้นทุนอาหารสัตว์แพง หมูเถื่อนถล่ม ขอเดินหน้าตามมติ “Pig Board” ขายหมูฟาร์มตามโครงสร้างต้นทุน และ Big Data

วันที่ 22 กันยายน 2566 นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขอให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ชะลอคำสั่งการให้ลดราคาสินค้าทั้ง หมู ไก่ ไข่ ออกไปก่อน และศึกษาต้นทุนการผลิตที่แท้จริงของภาคปศุสัตว์ก่อนตัดสินใจ

เนื่องเกษตรกรผู้เลี้ยงแบกภาระขาดทุนมานานหลายเดือน โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูต้องแบกภาระหนี้ตั้งแต่ต้นปีมานานกว่า 8 เดือน จากต้นทุนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นมากกว่า 30% ซึ่งเป็นผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่ราคาขายหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มโดน “หมูเถื่อน” ดัมพ์ราคาทำให้เสียหายมาตั้งแต่ต้นปี 2566 เช่นกัน

“เกษตรกรต้องใช้เวลาเลี้ยงหมูนาน 5 เดือน แต่ต้องแบกภาระขาดทุนตัวละประมาณ 3,000 บาท มานานกว่า 8 เดือน เป็นเรื่องไม่เป็นธรรมกับเกษตรกร” นายสิทธิพันธ์กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ เกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศมากกว่า 100 คน เพิ่งเข้าพบร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐนมตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยฯ วันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา เพื่อขอให้กระทรวงช่วยเหลือชดเชยผู้เลี้ยงหมูจากการขายในราคาขาดทุนตัวละ 3,000 บาท จนต้องบริหารจัดการจับหมูขนาดเล็ก 3-6 กิโลกรัม เพื่อนำไปทำหมูหัน ลดซัพพลายหมูที่จะออกสู่ตลาด แก้ปัญหาราคาตกต่ำ โดยขอให้รัฐบาลชดเชยตัวละ 400 บาท เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนไปใช้ในการดำเนินจัดการฟาร์ม

“ต้นทุนพลังงานที่ลดลง ส่งผลกระทบเชิงบวกกับผู้เลี้ยงหมูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะต้นทุน 60-70% เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล แต่ยังไม่มีการแก้ปัญหาระยะยาว มีเพียงมาตรการชั่วคราว และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรต้องดิ้นรนให้ธุรกิจอยู่รอด ขาดทุนสะสมยังไม่มีใครช่วย กลับถูกซ้ำเติมต้องมาลดราคา เกษตรกรไม่มีอากาศจะหายใจแล้ว” นายสิทธิพันธ์กล่าว

ADVERTISMENT

นายสิทธิพันธ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีโครงการอุดหนุนสินค้าเกษตรหลายรูปแบบ เช่น ผู้ปลูกข้าวโพด ได้รับการประกันรายได้ แต่ผู้เลี้ยงหมูไม่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลเลย ซ้ำรายยังเป็นสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ การสั่งให้ลดราคาทั้งที่ขาดทุนจึงไม่เป็นธรรมกับเกษตรกร ควรทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับภาคการผลิตและภาระของผู้ผลิตด้วย

ด้าน นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง กล่าวว่า ปัจจุบันผู้เลี้ยงไก่ไข่ ไม่ต่างจากผู้เลี้ยงสัตว์ชนิดอื่น ต้องประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงตั้งแต่ปลายปี 2564 และหนักที่สุดปี 2565 จากผลของสงคราม ต้นทุนไข่ไก่สูงขึ้นต่อเนื่องช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.70 บาทต่อฟอง ขณะที่ไข่คละหน้าฟาร์มเพิ่งปรับขึ้นเป็น 4 บาทต่อฟอง เมื่อเดือนกรกฎาคมและยืนราคามาจนถึงขณะนี้ เห็นได้ว่าราคาต้นทุนและราคาขายปริ่มกันมาก บางช่วงต้องขายขาดทุน เช่น ช่วงเทศกาลกินเจและปิดเทอมที่กำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ ความต้องการไข่ไก่น้อยลง ราคาลดลงตามกลไกตลาดรัฐบาลไม่จำเป็นต้องสั่งให้ลดราคา

ADVERTISMENT

“ข้อเท็จจริง คือ เกษตรกรไม่สามารถขายไข่ได้เต็มราคาหน้าฟาร์มทั้งหมด ตอนนี้ราคาหมู ไก่ก็ตกต่ำ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังลืมตาอ้าปากได้ ขอให้ท่านรัฐมนตรีเห็นใจพวกเรา ขอให้รัฐบาลทำหน้าที่กำกับดูแลให้กลไกตลาดทำงาน และพิจารณาให้ราคาเป็นธรรมกับเกษตรกรด้วย เพราะการลดราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว ไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดของเกษตรกร” นางพเยาว์กล่าว

นอกจากนี้ รัฐบาลควรจัดปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาแพงเป็นวาระเร่งด่วนตามที่รัฐบาลชุดนี้แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาหากปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไข ก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนของเกษตรกร ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ควรมองจากต้นทุนเพียงตัวเดียวเท่านั้น

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561 นายไชยา พรหมมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ หรือ Pig Board ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของ Pig Board ใหญ่ หลังจากมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและนายกสมาคมผู้เรียกสุกรจังหวัดราชบุรี เป็นผู้แทนภาคเอกชนในนามสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้นำเสนอ 2 วาระทั้งการขายสุกรหน้าฟาร์มตามโครงสร้างต้นทุนของคณะอนุกรรมการการผลิตสุกร Pig Board ที่มีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เป็นฝ่ายเลขานุการ ที่มีการประชุมคาดการณ์ต้นทุนการผลิตสุกรทุก ๆ ไตรมาส และการจัดทำ Big Data ภาคเอกชนที่เป็นตัวเลข Supply Side ที่ในอดีตข้อมูลเชิงบริหารของภาคเอกชนยังไม่มีความชัดเจนทำให้การบริหารจัดการการผลิตขาดความชัดเจนในภาพอนาคตเพื่อสร้างเสถียรภาพของราคา

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ Big Data ของกรมปศุสัตว์ซึ่งมีการจัดทำเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานด้านการเคลื่อนย้าย ข้อมูลฟาร์ม ข้อมูลโรงเชือด ข้อมูลผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมสุกรไทย ยินดีที่จะให้มีการรวมข้อมูลทั้งภาครัฐที่เป็น Demand Side และเอกชนที่เป็น Supply Side และพร้อมที่จะพัฒนา Application DLD 4.0 ให้เป็น Application เดียวที่ใช้ได้กับฟาร์มสุกรทั้งระบบ

นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม ได้ยื่นการรวม Big Data ของภาครัฐและเอกชนเมื่อกรกฎาคม 2566 ในนามสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติโดยมีคณะกรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติรุ่นใหม่ประกอบด้วย

  1. นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคม
  2. นายสัตวแพทย์สุทัศน์ ตั้งธโนปจัย กรรมการสมาคม
  3. คุณวรรณภา ชินชูศักดิ์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคกลาง

ร่วมผลักดันกับ บริษัทอินเทอร์เน็ต ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET หลังยื่นหนังสือถึงกรมปศุสัตว์ โดยขั้นตอนในการพัฒนาระบบเริ่มเป็นลำดับดังนี้

1.พัฒนาระบบฐานข้อมูลสมาชิกสมาคมและระบบการรับสมัคร

2.ดึงข้อมูลความสมาชิกที่มีการใช้ Application ที่ต่างกันเข้ามาสู่ศูนย์รวมกลาง Supply Side ที่เป็นข้อมูลกลาง

3.รวมข้อมูลภาครัฐเอกชน ก็จะเป็นข้อมูล Demand/Supply ในแต่ละช่วง รวมทั้งข้อมูล Dynamic Dataที่เคลื่อนย้ายการผลิตแต่ละช่วงวัย สู่วันออกตลาดของผลผลิต

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ Big Data-Supply Side ภาคเอกชน ว่า “เมื่อวานวันที่ 19 กันยายน 2566 คณะกรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้มีการประชุมในหัวข้อนี้โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ต่างเห็นด้วยและยินดีที่จะให้ข้อมูลประชากรสุกร ตั้งแต่ แม่พันธุ์ สุกรขุนเพื่อที่จะพัฒนาระบบ Supply Side เพื่อความแม่นยำในการพยากรณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น”

สำหรับวาระการขายสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตามโครงสร้างต้นทุน สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติได้ยื่นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2566 และมีการประชุมร่วมกับภาครัฐสำหรับแนวทาง เป็นระยะ ๆ โดยเมื่อมีการกำหนดราคาการขายในแต่ละช่วงไม่ต่ำกว่าโครงสร้างต้นทุนจะทำให้การประกอบอาชีพสุกรของเกษตรกรจะมีความมั่นคงและยั่งยืนมีเสถียรภาพมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีทั้งระบบและตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยแนวทางเบื้องต้นจะใช้ราคาแนะนำของ สกกร. ที่มีการใช้แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรหลายครั้งในช่วงที่คุณบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งจะเป็นข้อหารือของคณะทำงานของ Pig Board อย่างเร่งด่วน

สำหรับข้อเสนอต่าง ๆ ในวาระที่นำเสนอโดยกรมปศุสัตว์ ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมทั้งหมดซึ่งจะเป็นเรื่องที่คณะทำงานจะต้องดำเนินการต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมสุกร ประกอบด้วย การขับเคลื่อนการรักษาเสถียรภาพราคาสุกรตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้

จัดทำ Big data ของอุตสาหกรรมการผลิตสุกร เช่น  ข้อมูลฟาร์ม/โรงฆ่า/จำนวนสุกร การขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยง/พ่อค้าคนกลาง เป็นต้น ดำเนินการปราบปรามสุกรเถื่อน ทั้งระบบ (นำเข้า/ห้องเย็น/สถานที่จำหน่าย) อย่างต่อเนื่องขับเคลื่อนและผลักดันการส่งออก สุกรมีชีวิต ซากสุกร และอื่น ๆ เพื่อระบายสุกรส่วนเกินออกจากระบบ วิเคราะห์ข้อมูลและปรับสมดุลการผลิต ให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภค

โดยยึดหลักตลาดนำการผลิตส่งเสริมการแปรรูป ดึงปริมาณเนื้อสุกรออกจากตลาด มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รณรงค์ ประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการบริโภคผลผลิตจากสุกรจัดตั้งกองทุนพัฒนาสุกร เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิต