
TDRI เปิด 7 ข้อเสนอนโยบายรับมือ Climate Change ดันไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ฝ่า 9 แรงกดดัน ห่วงเป้า Net zero ช้า ทำเสียโอกาสแข่งขัน
วันที่ 31 ตุลาคม 2566 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) จึงได้จัดสัมมนาประจำปี 2566 “ปรับประเทศไทย ไปสู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำ” ชี้ 9 แรงกดดันที่ไทยต้องประสบ ตลอดจนเสนอ 7 ข้อนโยบายตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- กรุงไทย-ออมสิน ระเบิดโปรฯ เงินฝาก “ดอกเบี้ยพิเศษ” เช็กเงื่อนไขที่นี่
เนื่องจากประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กต้องพึ่งพาการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในระดับสูง จึงไม่สามารถละเลยต่อแรงกดดันต่าง ๆ ได้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกำหนดความอยู่รอดของเศรษฐกิจและสังคมไทย
9 แรงกดดันที่ไทยต้องเผชิญ
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI ระบุว่า ประเทศไทยต้องเผชิญกับ 9 แรงกดดัน ไม่ว่าจะเป็นจาก 1) ความตกลงปารีส ที่แต่ละประเทศจะต้องตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึง 2) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) ต่อการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมหนักบางรายการ และมีแนวโน้มที่จะขยายรายการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต และยังมีอีกหลายประเทศเช่น สหรัฐ แคนาดา และออสเตรเลีย อาจใช้มาตรการในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย
นอกจากนี้ 3) ยังมีหน่วยงานกำกับดูแลระหว่างประเทศเฉพาะด้าน เช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และองค์การการเดินเรือระหว่างประเทศ (IMO) เริ่มมีกิจกรรมที่มุ่งให้ประเทศสมาชิกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจน 4) บริษัทชั้นนำในระดับโลก ซึ่งเป็นผู้นำซัพพลายเชนของสินค้าผู้บริโภค ต้องการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และกดดันให้ซัพพลายเออร์ในประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
อีกทั้ง 5) นักลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ ที่ต้องการมาลงทุนในไทย มีเงื่อนไขว่าไทยต้องสามารถป้อนพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% และ 6) นักลงทุนในตลาดการเงินและตลาดทุนระหว่างประเทศ ซึ่งลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย เช่น กองทุนต่าง ๆ ที่ยึดหลักการลงทุนโดยมีความรับผิดชอบ กดดันให้บริษัทเหล่านี้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ 7) ยังมีนักเคลื่อนไหว ทั้งในและต่างประเทศ สร้างแรงกดดันให้บริษัทต่าง ๆ รักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึง 8) กลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่ตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เลือกซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจน 9) พนักงานหรือสหภาพแรงงานของบริษัท มีความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลือกเข้าทำงานกับองค์กรที่มีความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจ
ห่วงเป้า Net Zero ล้าช้ากว่าเพื่อนบ้าน เสี่ยงเสียเปรียบคู่แข่ง
นอกจากนี้ ดร.สมเกียรติระบุว่า แม้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ ในปี 2065 แต่ปรากฏว่ากลับล่าช้ากว่าหลายประเทศในโลก รวมทั้งประเทศในภูมิภาคเดียวกัน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และลาว ที่กำหนดเป้าหมายในปี 2050 และจีนที่กำหนดเป้าหมายในปี 2060
“จากความล่าช้านี้ อาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกไม่มีความโดดเด่น และอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านได้ ที่สำคัญอาจทำธุรกิจของไทยโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงจนทำให้ไทยไม่สามารถปรับไปสู่เศรษฐกิจ-สังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างทันท่วงที”
ชง 7 ข้อเสนอ ดัน “เก็บภาษีคาร์บอน”
ดร.สมเกียรติกล่าวว่า ไทยยังขาดยุทธศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวม จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
โดยข้อเสนอแรกคือ ควรจัดเก็บภาษีคาร์บอน 2 ระบบควบคู่ไปด้วยกันคือ ภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าส่งออกที่อยู่ภายใต้มาตรการ CBAM และภาษีคาร์บอนพลังงาน ซึ่งจัดเก็บจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยผู้ที่เสียภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าส่งออกจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีคาร์บอนพลังงานในส่วนที่ได้เสียภาษีไปแล้ว
ซึ่งอัตราภาษีคาร์บอนพลังงานในระยะแรกควรเริ่มจากระดับที่ไม่สูงมาก เช่น 175 บาทต่อตันคาร์บอน คาดว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3 หมื่นล้านบาท และควรนำรายได้นี้จัดตั้ง “กองทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศ” เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตไทย และประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป
“ก่อนที่จะจัดเก็บภาษีคาร์บอน รัฐบาลควรทยอยลดอัตราการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล รวมไปถึงในระยะยาวควรปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ซึ่งไม่สะท้อนก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาให้เป็นภาษีคาร์บอน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการ เพราะจากการสำรวจของธนาคารโลก พบว่าในปี 2023 มี 39 ประเทศ และรัฐบาลท้องถิ่นอีก 33 แห่งที่ใช้ราคาคาร์บอนอยู่ในปัจจุบัน และยังมีรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นอีกกว่า 100 แห่งที่มีแผนจะใช้ราคาคาร์บอนในอนาคต” ดร.สมเกียรติระบุ
ต่อมาคือ ต้องกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศให้อยู่บนพื้นฐานของการสร้าง “เศรษฐกิจสีเขียว” และสร้าง “งานสีเขียว” ที่มีรายได้ดีแก่ประชาชน พร้อมควบคู่ไปกับการเร่งการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต (ภาคสมัครใจ) โดยควรเน้นการลดต้นทุนด้านการรับรองและทวนสอบ ควบคู่ไปกับการเพิ่มความต้องการคาร์บอนเครดิตของภาคธุรกิจ
อักทั้งยังควรเร่งปฏิรูปตลาดไฟฟ้าของประเทศให้เป็นเครื่องมือที่เอื้อต่อการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน โดยเปิดเสรีตลาดการผลิต เปิดสายส่งไฟฟ้าให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากแหล่งต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ในราคาที่เป็นธรรม และนำเอาระบบการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงและระบบ net metering มาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-ระบบขนส่งสาธารณะเมืองใหญ่
พร้อมใช้มาตรการหนุนเสริมต่าง ๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์เขียว การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เขียวและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
นอกจากนี้ ยังควรทำพื้นที่นำร่อง (แซนด์บอกซ์) การลดก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยยกระดับโครงการ “สระบุรีแซนด์บอกซ์” จากการออกกฎหมายยกระดับการบริหารงานภาครัฐ ซึ่งได้มีการยกร่างไว้แล้ว และถอดบทเรียนจากพื้นที่นี้มาขยายผลในระดับประเทศและปฏิรูปโครงสร้าง
และสุดท้ายคือ พัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อขอรับทุนสนับสนุนในการดำเนินการจากต่างประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถเร่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้เร็วขึ้น