ราคาน้ำมันดิบ (15 มี.ค. 67) ปรับขึ้น หลัง IEA ปรับคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันเพิ่ม

oil pump

ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้น หลัง IEA ปรับคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันเพิ่ม และปรับลดคาดการณ์การผลิตน้ำมันดิบลงในปี 2567

วันที่ 15 มีนาคม 2567 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคามีดังนี้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในปี 2567

โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 103.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งปรับเพิ่มจากคาดการณ์ในเดือนที่แล้วที่ 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าปี 2566 ที่อุปสงค์น้ำมันขยายตัวถึง 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ การปรับเพิ่มคาดการณ์ของ IEA เป็นผลสืบเนื่องมาจากกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันในภูมิภาคดังกล่าว

โดยราคาน้ำมันเวสต์เทกซัสซื้อขายเมื่อ 14 มี.ค. 2567 อยู่ที่ 81.26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น +1.54 เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ 85.42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น +1.39 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะเดียวกัน IEA มีการปรับลดคาดการณ์อุปทานน้ำมันในปี 2567 โดยคาดว่าอุปทานน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 102.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งแสดงถึงอุปทานน้ำมันในปี 2567 ที่ตึงตัวมากขึ้น

ดัชนีราคาผู้ผลิตในสหรัฐ (PPI) ปรับเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน ก.พ. 67 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% จากราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมันและอาหาร ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าอัตราเงินเฟ้ออาจมีการปรับตัวสูงขึ้น

ราคาน้ำมันเบนซิน

ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังโรงกลั่น Balikpapan ของอินโดนีเซียคาดว่าจะกลับมาดำเนินการภายในสิ้นเดือน เม.ย. 67 หรือต้นเดือน พ.ค. 67 อย่างไรก็ตาม สต๊อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 234.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน

ราคาน้ำมันดีเซล

ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันดีเซลของอินโดนีเซียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังเทศกาลรอมฎอน นอกจากนี้ สต๊อกน้ำมันดีเซลของ Amsterdam-Rotterdam-Antwerb ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 1.3% สู่ระดับ 2.0 ล้านตัน