
คอลัมน์ : นอกรอบ ผู้เขียน : ดร.ฉมาดนัย มากนวล Krungthai COMPASS
บนเส้นทางเศรษฐกิจที่มีขวากหนาม สปอตไลต์กำลังจับไปที่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ทั้งการปิดโรงงานในไทยของบรรษัทข้ามชาติ และการเลิกจ้างแบบกะทันหันในหลายพื้นที่ กระแสข่าวเหล่านี้สร้างความหวั่นวิตกต่อสถานการณ์ที่อาจบานปลายจนกลายเป็นวิกฤต หากจะลงลึกเราควรประเมินให้ได้ก่อน ว่าตลาดแรงงานไทยซึ่งเปรียบเหมือนคนเจ็บออกจากห้องไอซียูหลังโควิด-19 ขณะนี้ผู้ป่วยฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว หรือยังมีจุดไหนน่าเป็นห่วง
การแพร่ระบาดของโควิดหลายระลอกที่ไปนำสู่การล็อกดาวน์และเลิกจ้างเมื่อช่วงปี 2563-2565 ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราการว่างงานรายปีพุ่งถึง 2.5% ในปี 2565 สูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งตัวเลขการว่างงานทุบสถิติในรอบกว่า 30 ปีที่ 3.4% เมื่อปี 2541
หากจำกัดเวลาให้ใกล้ขึ้นสักสิบปีก่อนการแพร่ระบาด จะพบว่าวิกฤตโควิดสั่นคลอนตลาดแรงงาน โดยอัตราการว่างงานรายเดือนก่อนโควิดอยู่ที่เพียง 0.8% แต่หลังจากวิกฤตโควิดผ่านไป อัตราการว่างงานนับแต่การเปิดประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565
จนล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% ภาวะว่างงานในขณะนี้จึงสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด ทั้งยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขการว่างงานเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปีนี้ที่ 4.3 แสนตำแหน่งต่อเดือน
ตลาดแรงงานหลังโควิดของไทยจึงยังไม่ปกติ และมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ยกระดับขึ้น ระดับการว่างงานที่ทรงตัวสูงสะท้อนการปรับตัวที่ล่าช้าของฝั่งอุปทาน เนื่องจากทยอยกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงแรกเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน จากนั้นจึงเริ่มผลิตเพื่อสนองความต้องการที่อั้นไว้ช่วงล็อกดาวน์ แล้วจึงคลี่คลายมาเป็นภาคการท่องเที่ยวหลังจากเปิดรับชาวต่างชาติ ขณะที่แรงงานส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาภาคบริการถึงกว่า 45% กระบวนการฟื้นตัวล่าช้าส่งผลให้มีคนว่างงานตกค้างเป็นจำนวนมาก
ส่วนเรื่องที่ว่าตลาดแรงงานไทยมีจุดไหนน่ากังวล ภูมิทัศน์ของตลาดแรงงานไทยปรับตัวไปแค่ไหนหลังโควิดผ่านไปแล้ว ขอสรุปออกเป็น 3 เรื่องสำคัญคือ เรื่องแรก การฟื้นตัวของตลาดแรงงานยังเปราะบางและไม่ทั่วถึง ในกลุ่มคนที่ถือว่ามีงานทำนั้น มีแรงงานถึง 1.5 ล้านคนที่จัดเป็นผู้เสมือนว่างงาน หรือแต่ละวันทำงานต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
หากพ่วงส่วนนี้เข้าไป ตัวเลขการว่างงานและเสมือนว่างงานจะรวมกันสูงถึง 5.1% โดยสถานภาพแล้วลูกจ้างกลุ่มนี้มีฐานะขัดสน เนื่องจากขาดรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาการฟื้นตัวของตลาดแรงงานแยกตามสถานภาพการทำงานแล้ว พบว่าจำนวนการจ้างงานในกลุ่มลูกจ้างภาคเอกชนซึ่งเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่สุดเกือบ 40% ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเดิม หากเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด ยิ่งกว่านั้นจำนวนกลุ่มนายจ้างกลับฟื้นตัวช้า และยังคงต่ำกว่าระดับเดิมก่อนโควิดเสียด้วยซ้ำ
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ อำนาจซื้อของแรงงานยังติดลบและโตไม่ทันค่าครองชีพ ค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนทำงาน ซึ่งคำนวณโดยหักผลของอัตราเงินเฟ้อออกไปแล้วกลับลดจากเดิม ค่าจ้างที่แท้จริงช่วงหลังโควิดที่ผ่านมามีค่าติดลบเฉลี่ยราว 0.5%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยหลังการแพร่ระบาดอยู่ที่ 2.3% โดยแรงงานภาคบริการหลายสาขามีกำลังซื้อที่แท้จริงลดลง ทั้งสาขาก่อสร้าง ขนส่ง และการค้า ซึ่งการฟื้นตัวยังไม่กลับไปสู่ระดับเดิมสมัยก่อนโควิด
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดกลับมีค่าจ้างที่แท้จริงติดลบถึง 3.1% สะท้อนหลายปัจจัยรุมเร้า ทั้งผลิตภาพการผลิตที่ต่ำจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออก การตีตลาดจากสินค้าจีน รวมไปถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ
ประการสุดท้าย ทักษะแรงงานไทยไม่ตอบโจทย์ โดยอุปทานลูกจ้างที่มีอยู่หลายส่วนไม่ตรงกับคุณลักษณะของคนทำงานที่นายจ้างต้องการ ในช่วงที่ภาคธุรกิจเร่งสร้างทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศ ตลาดแรงงานตึงตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากแรงงานที่กลับภูมิลำเนาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ยังไม่กลับคืนมา ซึ่งภาพช่วงแรกนี้คล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก
แต่เมื่อวิเคราะห์ตำแหน่งงานเปิดใหม่เทียบกับอัตราการว่างงานไทยระยะหลัง จะเริ่มเห็นปรากฏการณ์ที่การเปิดรับคนใหม่ไม่ได้ช่วยลดอัตราการว่างงานให้น้อยลง พูดง่าย ๆ คือคนที่กำลังหางานตอนนี้ยังไม่ตรงปกตามที่นายจ้างต้องการ บ่งชี้ความไร้ประสิทธิภาพในการปรับทักษะเพื่อเติมคนให้ตรงกับงาน
สิ่งที่น่ากังวลคือ อัตราการว่างงานของกลุ่มเด็กจบใหม่ที่เข้าสู่กำลังแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตอกย้ำว่าตลาดแรงงานไทยขาดคนที่ใช่มากขึ้นเรื่อย ๆ
กระบวนทัศน์ของตลาดแรงงานไทยยุคหลังโควิดจึงเปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ลงกว่าเดิม จำเป็นต้องปรับอุปทานกำลังคนให้สอดคล้องกับทักษะและรูปแบบการทำงานใหม่หลังโควิด ซึ่งยังขาดคนที่มีความสามารถด้านดิจิทัล ทักษะด้านนวัตกรรม และการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อปรับตัวให้ไวตามโจทย์ที่เปลี่ยนเร็ว หากปล่อยไปเช่นนี้ภาคแรงงานไทยจะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่หนักหน่วงมากขึ้น แต่ถ้ากลับตัวได้ทันและช่วยกันอัพเลเวลแรงงานไทยทุกอย่างก็ยังไม่สายเกินแก้