ส่งออกอาหารครึ่งปีแรก 67 กวาด 8.5 แสนล้าน ทั้งปี 67 โต 8.8% จับตาสินค้าจีนถล่ม

สถาบันอาหาร-ส.อ.ท.-สภาหอการค้าฯ ชี้ส่งออกอาหารไทยครึ่งปีแรก 67 โต 9.9% มูลค่า 8.5 แสนล้านบาท ลุ้นสิ้นปี’67 ฝ่าปัจจัยเสี่ยงสู่เป้า 1.65 ล้านล้านบาท โตทะลุ 8% มองข้ามชอตรัฐบาลใหม่ส่งผ่านนโยบายหนุน Soft Power ดันอุตสาหกรรมอาหารสู้โลก

วันที่ 15 สิงหาคม 2567 สถาบันอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยการส่งออกสินค้าอาหารของไทย 6 เดือนแรกปี 2567 มีมูลค่า 852,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ลุ้นครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง คาดอัตราต่ำกว่าครึ่งปีแรก หรือในราวร้อยละ 7.8 มีมูลค่า 797,568 ล้านบาท มั่นใจเป้าส่งออกทั้งปี’67 จะแตะ 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.8 หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง

ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่องมาจากในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 แตะระดับ 852,423 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 9.9% ปัจจัยหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารไทยในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบหลักในการแปรรูปหลายรายการอ่อนตัวลง

โดยราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มผู้ผลิตซอสได้รับต้นทุนน้ำตาลและถั่วเหลืองที่มีราคาถูกลง ราคากากถั่วเหลืองและราคาข้าวโพดที่ลดลง เอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไก่ การลดลงของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกช่วยลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมปังกรอบ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

ADVERTISMENT

แนวโน้มส่งออกอาหารไทยครึ่งปีหลัง

แนวโน้มการส่งออกอาหารไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีมูลค่า 797,568 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 โดยการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะมีมูลค่า 395,536 ล้านบาท และ 402,032 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และ 9.9 ตามลำดับ โดยภาพรวมในปี 2567 คาดว่าการส่งออกของอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เทียบจากปีก่อน (66) ที่มีมูลค่า 1.51 ล้านล้านบาท

โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หลายประเทศขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก สินค้าอาหารไทยมีภาพลักษณ์ด้านคุณภาพมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่อง ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค

ADVERTISMENT

“ส่วนในเรื่องการปรับเปลี่ยนทางด้านการเมืองนั้น ทางสถาบันอาหารมองว่าอาหารเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ของคนทั่วโลก การส่งออกยังไปได้แน่นอน ทางสถาบันพร้อมที่จะดำเนินตามนโยบายเพื่อสานต่อจากนโยบายเดิมที่วางไว้ ซึ่งที่ผ่านมาท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐาได้ดำเนินนโยบายเรื่องสอบ Power หลายมิติ”

สินค้าส่งออกครึ่งปีแรก

สำหรับกลุ่มสินค้าที่ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นและส่งผลบวกต่อภาพรวมส่งออกอาหาร ได้แก่ ข้าว (+25.3%/+55.7%) แป้งมันสำปะหลัง (+21.1%/+30.5%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+20.7%/+41.7%) ปลาทูน่ากระป๋อง (+20.7%/+19.2%) ซอสและเครื่องปรุงรส (+10.7%/+16.7%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+19.7%/+29.4%) ส่วนกลุ่มสินค้าที่ปริมาณ

ส่งออกลดลง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านผลผลิต โดยเฉพาะผลไม้สดที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 11.9 น้ำตาลทราย ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 46.4 กุ้งปริมาณส่งออกลดลง ร้อยละ 6.8 และสับปะรดปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 13.0

“ปริมาณและราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการตลาดโลก หลังอุปทานข้าวโลกตึงตัวจากการที่อินเดียยังคงจำกัดการส่งออก การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงและปลาทูน่ากระป๋องขยายตัวสูง อานิสงส์จากราคาปลาทูน่าที่อยู่ในระดับต่ำ ความต้องการปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม OEM มีแนวโน้มโดดเด่น เพราะได้รับประโยชน์จากราคาขายลดต่ำลงตามต้นทุนวัตถุดิบ ซอสและเครื่องปรุงรสรสขยายตัวจากการที่ผู้ประกอบการไทยเน้นการรุกตลาดซอสบนโต๊ะอาหาร (Dipping/Table Sauces) รสชาติเผ็ดร้อนมากขึ้น หลังจากซอสในกลุ่มดังกล่าวได้รับความนิยม

อย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศฝั่งชาติตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวขยายตัวสูงในกลุ่มกะทิที่นำไปประกอบอาหารในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ ออสเตรเลีย รวมถึงกะทิที่ผสมและใช้เป็นเครื่องดื่มสุขภาพในตลาดจีน”

ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง อาทิ แอฟริกา (+38.5%) โอเชียเนีย (+29.0%) สหรัฐอเมริกา (+23.0%) สหราชอาณาจักร (+17.2%) ตะวันออกกลาง (+16.7%) สหภาพยุโรป (+14.4%) CLMV (+12.5%) และญี่ปุ่น (+8.4%) มีเพียงตลาดส่งออกไปยังประเทศอินเดีย (-18.1%) และจีน (-5.0%) ที่หดตัวลง โดยอินเดียหดตัวลงตามสินค้าน้ำมันปาล์มเป็นหลัก และหันไปนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด (ทุเรียน) กุ้ง และไก่สดแช่แข็ง เป็นต้น

ไทยผลิตอาหารเบอร์ 12 ของโลก

สำหรับมูลค่าการค้าอาหารโลก 6 เดือนแรก ปี 2567 หดตัวลงร้อยละ 4.0 มูลค่าการค้า 933 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเทศผู้ส่งออก 9 อันดับแรกของโลก มีอันดับโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส สเปน แคนาดา และอิตาลี ตามลำดับ

สำหรับประเทศไทยส่งออกในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เป็นอันดับที่ 12 ของโลก

และที่สำคัญไทยยังสามารถรักษาดุลการค้าสินค้าอาหารกับจีนได้ ในช่วงครึ่งปีแรกไทยได้ดุลการค้าจากจีนเกือบ 300,000 ล้านบาท โดยมีการส่งออกสินค้าอาหารไปที่จีน 370,000 ล้านบาท และนำเข้าจากจีน 98,000 ล้านบาท

ห่วงสินค้าจีนถล่มตลาดส่งออกแข่งไทย

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนและภาคผลิตของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการส่งออกอาหารไทยยังมีปัจจัยจากแรงกดดันเรื่องต้นทุนค่าระวางเรือ ส่งผลให้ผู้นำเข้าปลายทางชะลอการนำเข้าโดยตรง

ขณะเดียวกัน ตลาดส่งออกก็มีการแข่งขันมากขึ้นจากสินค้าที่ประเทศจีนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก สินค้าที่จีนสามารถผลิตได้เหมือน หรือใกล้เคียงกับไทยก็มีการนำไปทำตลาดด้วยราคาที่ถูกกว่า 30 ถึง 40% อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามการตอบโต้ทางการค้าของประเทศปลายทางด้วย

นอกจากนี้ ประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่ผันผวนอย่างรุนแรง จากมาตรการทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มมีการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ เบื้องต้นผู้ประกอบการต้องประกันความเสี่ยงค่าเงิน ส่วนในภาพรวมธนาคารแห่งประเทศไทยต้องติดตามนโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเหตุการณ์ ไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของ การส่งออกของประเทศไทยที่ยังเป็นส่วนสำคัญในการชี้ชะตา GDP ของไทยในอนาคต

ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา

ไม่ห่วงการเมืองกระทบ Soft Power

นายวิศิษฐ์มองว่านโยบายการส่งเสริม Soft Power ของอาหารไทยที่เดินหน้าในช่วงของรัฐบาลเศรษฐานั้น จะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ที่ผ่านมาไทยมีการส่งเสริม Soft Power ใน 2 ส่วนคือ สินค้าที่เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และสินค้าสำเร็จรูปที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ก็จะมีความรู้จักสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของไทย หลาย ๆ เมนูติดรายการสินค้ายอดนิยม อย่างเช่นต้มยำกุ้ง ซูเปอร์ขาไก่

การโปรโมต Soft Power สามารถทำได้โดยใช้วิธีการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งภาคเอกชนก็พร้อมที่จะดำเนินการต่อ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากฝ่ายใดเข้ามา การดำเนินนโยบายทางด้านเกษตรอาหารน่าจะได้รับการสนับสนุน เพราะมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนเกือบ 50 ล้านคน นโยบายด้านอาหารที่ต้องการให้รัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเข้ามาสานต่อ

ดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้นน้ำคือดูแลในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งเรื่องภาคเกษตร ดิน และน้ำธนาคารน้ำใต้ดิน ส่วนกลางน้ำขอให้มีการสนับสนุนเรื่องนวัตกรรมในการพัฒนาสินค้า และปลายน้ำส่งเสริมการทำตลาดโดยเฉพาะการเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) ควรจะต้องมีการดำเนินต่อไป

เอกชนผนึกกำลัง

สุดท้ายหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภายใต้นโยบาย “Connect-Competitive-Sustainable” เราได้มุ่งมั่นยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและอาหารของไทย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการอันส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพธุรกิจเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ อาทิ จัดตั้งศูนย์

ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือ ศูนย์ AFC ร่วมกับภาคีเครือข่าย 28 องค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำให้เกิดเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งได้ร่วมมือกับสถาบันอาหารในการศึกษารูปแบบบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือ และสร้างต้นแบบ การบริหารจัดการ Food Valley ในจังหวัดขอนแก่นภายใต้โครงการ Khon Kaen Food Valley Cluster เพื่อขยายผลให้เป็น Role Model ไปในจังหวัดต่าง ๆ

ตลอดจนการรณรงค์บริโภคอาหารโปรตีนทางเลือกในการประชุมภายในองค์กรอย่างน้อย 30% ของมื้ออาหารปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจอาหารจากโปรตีนทางเลือกของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทย 500,000 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs และ BCG เท่านั้น แต่ยังจะเป็นการจัดการและเพิ่มมูลค่าของ Food Waste และ Food Loss

ในระบบการผลิตอาหาร เพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรผู้ประกอบการและความยั่งยืนของโลกอีกด้วย

ผวาจีนตั้งโรงงานในไทย

ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการส่งออก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาและกลั่นกรองลูกค้าที่มีศักยภาพทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสของสินค้าอาหารไทยในอนาคต

ขณะเดียวกัน ก็ต้องหันกลับมามองตลาดในประเทศด้วยว่าปัจจุบันมีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังถูกเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากประเทศจีนที่

รุกหนักมาก ทั้งธุรกิจร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ที่เชื่อมโยงไปสู่สินค้าเกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างเช่น เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มชนิดต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักและผลไม้อบแห้ง ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งตลาดอาหารในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งมิติของตลาดในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่มีมากถึง 65 ล้านคน และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคนต่อปี จึงเป็นที่หมายปองของหลาย ๆ ประเทศ

“ตอนนี้เศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะเปราะบาง ผู้ผลิตสินค้าจีนที่ผลิตได้จำนวนมากจึงผลักดันสินค้าที่ผลิตได้เกินส่งออกมาในตลาดโลกเพื่อรักษา GDP ให้เติบโต 5% ทำให้มีสินค้าส่งออกมายังตลาดต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงไทยด้วย แต่ไทยยังสามารถขยับอันดับของส่วนแบ่งตลาดอาหารในตลาดโลกโดยในช่วงครึ่งปีแรกใครสามารถขยับขึ้นมาจากเบอร์ 14 มา เป็นเบอร์ 12 ของโลกได้”

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลด้านมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูปอย่างคณะกรรมการอาหารและยา ควรจะเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นในการกำกับดูแลสินค้านำเข้า เพื่อดูแลด้านมาตรฐานไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

ขณะเดียวกัน ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมก็ได้มีการสแกนว่ามีโรงงานจากจีนย้ายมาตั้งโรงงานในไทยมากน้อยเพียงใดเป็นไปได้หรือไม่ และเราควรจะมีการดำเนินมาตรการอย่างไร ซึ่งต้องยืนยันว่าไทยมีความแข็งแกร่งในด้านอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมีวัตถุดิบหลายรายการ และเราเป็นผู้ส่งออก Top 5 ของโลกในหลายรายการ การที่จีนจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตที่ไทยอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตก็มองถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการพัฒนา

ดร.เจริญ แก้วสุกใส
ดร.เจริญ แก้วสุกใส

สัมพันธ์เป็นพันธมิตรกัน ได้หรือไม่อย่างไร

สำหรับแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารในระยะยาว ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาและรักษาจุดแข็งในเรื่องของคุณภาพ ด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และความยั่งยืนของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีมาตรการติดตามและเฝ้าระวังสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศ

ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องมีกลยุทธ์ในการปรับตัวรับสภาวะการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนสินค้า การรักษาคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยอาหาร การมุ่งเน้นการผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ ตลอดจนการเฟ้นหาลูกค้าและตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ทางธุรกิจเหล่านี้เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญช่วยให้สินค้าอุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าต่างชาติได้ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก