ปตท. เขย่าพอร์ตดาวน์สตรีมรับโลกเปลี่ยน รับพาร์ตเนอร์ลงทุน ‘โรงกลั่น-ปิโตรเคมี’

ปตท. เขย่าพอร์ตดาวน์สตรีม ‘โรงกลั่น-ปิโตรเคมี’ รับโลกเปลี่ยน เล็งหาพันธมิตรใหม่ร่วมลงหุ้นหนุน IRPC-GC-TOP ย้ำไม่กระทบความมั่นคงพลังงาน จ่อสปินออฟบริษัทลูก หาผู้ร่วมทุน ‘อินโนบิก’ เดินหน้าแผนลงทุน ปี’67 ตามกรอบงบฯเดิม 2.6 หมื่นล้าน ยันสภาพคล่องไม่มีปัญหา ล่าสุดบอร์ดเคาะแผนกลยุทธ์แล้ว บุกลงทุนธุรกิจไฮโดรคาร์บอน-CCS ลุยต่อแผน 5 ปี เปิดโฉมปลายปี พร้อมหารือกระทรวงพลังงาน หนุน เจรจา OCA ไทย-กัมพูชา

วันที่ 20 สิงหาคม 2567 ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ปตท. ได้พิจารณาผ่านแผนกลยุทธ์สำหรับการลงทุน แล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้ ปตท. จะต้องจัดทำแผนธุรกิจในรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยได้ในปลายปี 2567

ส่วนภาพรวมการลงทุนปี 2567 ที่บอร์ดได้พิจารณาไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ด้วยวงเงิน 27,000 ล้านบาทนั้น ทาง ปตท. ยังเดินหน้าในการลงทุนตามแผนนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง

“ครึ่งปีแรกลงทุนใกล้เคียงงบฯที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของครึ่งหลังปี 2567 ก็ไม่ได้ต่างจากแผนมากนัก ทั้งนี้ งบฯลงทุนที่กำหนดไว้ตลอดทั้งปีไม่ได้ต่างจากการลงทุนจริงในปัจจุบัน อาจจะลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแผนใหม่ก็ขึ้นอยู่กับ business plan” ดร.คงกระพันกล่าว

สำหรับแผนเดิม ปตท.ตั้งงบฯลงทุน ปี 2567 ราว 26,283 ล้านบาท ประกอบด้วย ธุรกิจก๊าซธรรมชาติลงทุน 9,107 ล้านบาท ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติลงทุน 6,363 ล้านบาท ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายลงทุน 999 ล้านบาท ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานใหญ่ ลงทุน 1,976 ล้านบาท การลงทุนในบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ลงทุน 7,838 ล้านบาท

ADVERTISMENT

ครึ่งปีแรกกำไร 64,000 ล้าน

สำหรับผลการดำเนินการครึ่งแรกของปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 จากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น หลักจากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยจากธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น

ส่วนใหญ่จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง ประกอบกับมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและการจำหน่ายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ สัดส่วนกำไรดังกล่าวมาจากธุรกิจ Hydrocarbon 92% และธุรกิจ Non-Hydrocarbon 8%

โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือนำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงาน ตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน

ขณะที่สภาพคล่องของทาง ปตท. ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งงบฯของ ปตท. ประมาณ 100,000 ล้าน รวมทั้งหมดมีกว่า 4.5 แสนล้านบาท

เปิดแนวทาง Revisit

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท.ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD”

โดยเร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon และธุรกิจ Non-Hydrocarbon

Hydrocarbon ที่เป็น Core Business ของ ปตท. ที่ ปตท. ทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดก๊าชเรือนกระจก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกจะต้องมุ่งหน้าเป็น Mobility Partner ของคนไทย รวมถึงการรักษาการเป็นผู้นำตลาด

“ในการทบทวนจะประเมินธุรกิจใน 2 มุมคือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractive) และ 2) ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็งสามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้น ๆ ได้ หรือไม่ โดยจะดำเนินการทบทวนทุกธุรกิจ”

เขย่าพอร์ตดาวน์สตรีม-ไม่กระทบความมั่นคงด้านพลังงาน

ดร.คงกระพัน กล่าวว่า แนวทางการเพิ่ม สามารถในการแข่งขันของธุรกิจ ในส่วนของธุรกิจดาวน์สตรีม จะต้องปรับพอร์ต สร้างความแข็งแรงร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาถือหุ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดยจะเปิดให้พาร์ตเนอร์ที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ หรือถือหุ้นบริษัทลูกโดยตรง เป้าหมายเพื่อรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของ IRPC มีข้อดีคือขนาดบริษัทไม่ใหญ่มากแต่ก็มีคนสนใจที่จะมาเป็นพาร์ตเนอร์ ขณะที่ไทยออยล์ (TOP) เป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ พาร์ตเนอร์ก็จะเป็นอีกรูปแบบ ซึ่งมีความสนใจที่จะมาทำตลาดน้ำมันสำเร็จรูปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วน PTT Global Chemical (GC) เป็นบริษัทกลุ่มเคมีภัณฑ์ระดับโลก คนที่สนใจก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซึ่ง ปตท. ได้เปิดกว้างสำหรับการรับพาร์ตเนอร์เข้ามา ซึ่งก็ ปตท.ก็สามารถลดสัดส่วนการถือหุ้นได้แต่ก็ต้องมากพอที่จะคงความเป็นแฟลกชิปและเกิด synergy ร่วมกัน

“วันนี้เราถือหุ้นบริษัทแฟลกชิปธุรกิจดาวน์สตรีม 40% การเดินหน้าหาพันธมิตรลดการถือหุ้นเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับการเจรจากับ Partner แต่คงไม่ได้ลดเป็นศูนย์ พันธมิตรแต่ละคนไม่ใช่ว่าจะเน้นเรื่องเงินอย่างเดียวแต่ 1 + 1 ต้องมากกว่า 2 ตอนนี้เริ่มมีการคุยกับพันธมิตรแล้ว หลายรายบางรายมีน้ำมันดิบก็สนใจหรือบางรายซื้อวัตถุดิบของเราใช้เราเป็นฐานการผลิตส่งไปยุโรปอเมริกา หรือคนที่อยู่ในธุรกิจนี้อยู่แล้วแต่ต้องการขยายตลาดไปในเอเชีย”

สำหรับการลดสัดส่วนหุ้นในธุรกิจดาวน์สตรีม จะเป็นคนละเรื่องกับความมั่นคงทางด้านพลังงาน การหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและสร้างมูลค่าหุ้นให้เติบโตมากขึ้น จึงไม่กระทบกับความมั่นคงทางด้านพลังงานเพราะในส่วนกำลังการผลิต สินค้าไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่นหรือปิโตรเคมีจะไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างธุรกิจโรงกลั่นตอนนี้กำลังการผลิตของไทยยังล้นอยู่ ส่วนธุรกิจในกลุ่มของ ปตท.ที่ผ่านมาก็มีการหาพันธมิตรมาโดยตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ยกตัวอย่าง เช่น gc มีพันธมิตรประมาณ 50 ราย ล่าสุดได้ร่วมกับ WHA ทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น

หนุนเจรจา OCA

ส่วน upstream ทาง ปตท.สผ. (PTTEP) จะต้อง ขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับ Partner และทำต้นทุนที่แข่งขันได้ พร้อมทั้งเร่งรัด เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA)

“ปตท.ก็ได้พูดคุยหารือร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อผลักดันการเจรจาดังกล่าวให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพื่อประโยชน์ของประเทศและมีความสนใจอยู่แล้วเนื่องจากแหล่งดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีก๊าซธรรมชาติ พลังงานชดเชย และวัตถุดิบของธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งเราก็ต้องให้ความร่วมมือและช่วยเหลือรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยวิธีการที่จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์โดยเร็วที่สุดควรใช้วิธีการเจรจา แบบที่เคยทำในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) น่าจะมีความเหมาะสมมากที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดความรวดเร็วและใช้ประโยชน์ทางด้านทรัพยากรร่วมกันทั้งสองประเทศ”

นอกจากนี้ ทาง ปตท. ต้องเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้ทำงานร่วมกับภาครัฐ และแสวงหาโอกาสในการเติบโตใหม่ ๆ ด้าน LNG ส่วนธุรกิจไฟฟ้า GPSC จะทำ Decarbonize ให้กลุ่ม ปตท. มี Mandate สร้าง Reliobility และสร้าง Reliability และ Decarbonize ให้กับกลุ่ม ปตท. ทำ Energy Mix ที่เหมาะสม

ลุยต่อ EV Charging

ส่วนธุรกิจ Non-Hudrocarbon ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 กลุ่มหลัก คือ EV Logisics และ Life Science ได้วางกลยุทธ์ว่า EV อยู่ในกลุ่ม OR ก็จะมุ่งเน้นการเป็น mobility partner ของคนไทยซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ ปตท. ตลอดจน OR ยังมี Ecosystem ที่รองรับยานยนต์ในอนาคต เช่น EV หรือเกิดการใช้ hydrogen มากขึ้น นอกจากนี้ OR ยังได้ร่วมกับธุรกิจ EV Charging ของ ปตท. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับพอร์ตลงทุนในธุรกิจที่มี substance และ asset-light

“OR ที่มีความถนัดในเรื่อง EV Charging เราก็จะเร่งทำให้มากขึ้น พร้อมมุ่งไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่าง ๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มี Touch Point อยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์”

2) ธุรกิจ Logisics ปตท. จะเน้นไปเฉพาะธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Core Business ของ ปตท. และมี Captive Demand อยู่แล้ว โดยยึดหลัก Asset-light และมี Partner ที่แข็งแรง

แผนการสปินออฟ Innobic

และ 3) ธุรกิจ Life Science ปตท. จะต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) และสร้าง Goodwill ให้กับสังคม

ทั้งนี้ ธุรกิจlife science ซึ่งมี บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เป็นแฟลกชิป ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ยา โภชนาการ และวัสดุทางการแพทย์ โดยปตท. ถือหุ้นอยู่ 100% เป็นธุรกิจใหม่และแตกต่างจาก ปตท.ค่อนข้างมาก แต่ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จและมีการเติบโต

“เรามองถึงการ spin off อินโนบิกมองว่าถ้าได้เข้า IPO ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี อินโนบิกจำเป็นต้องความรวดเร็วละมีความเข้าใจ โดยบอร์ดของอินโนบิกก็เต็มไปด้วยบุคลากรที่มีศักยภาพ ดังนั้นก็ต้องให้เขามีความคล่องตัวและความรวดเร็ว นอกจากนี้ก็มีความท้าทาย คือต้องสามารถหาแหล่งเงินทุน (funding) เองได้ ซี่งถ้าจะเติบโตก็จำเป็นต้องมีพาร์ตเนอร์ในรูปแบบต่าง ๆ เข้ามา สำหรับการหาแหล่งเงินทุนมาขยายก็ต้องเป็นบริษัทที่มีอิสระในการเติบโต ส่วน ปตท. ก็จะเป็นเหมือน investor”

CCS ไม่สำเร็จประเทศไทยเข้าสู่ Net zero ไม่ได้

ทั้งนี้ ปตท. มีแผนการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับบริบทองค์กร ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ผ่านการผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage : CCS)

โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัท ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม

“ในเรื่องนี้บอร์ด ปตท.ให้ความเห็น ชัดเจนว่า ปตท.จะต้องทำเรื่อง ccs ให้สำเร็จเพราะถ้า ปตท.ทำไม่สำเร็จประเทศจะเข้าสู่การเป็นเน็ตซีโร่ไม่ได้”

ส่วนหนึ่งที่ช่วยลดคาร์บอน คือ ไฮโดรเจน (Hydrogen) สำหรับภาคอุตสาหกรรม เพราะขนาดตลาดใหญ่กว่า Mobility เบื้องต้นเราจะเริ่มลงทุนข้างนอกก่อน เพราะราคายังสูง โดยวางบทบาทให้ ปตท. เป็นส่วนกลางที่จะลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน ท่อและถังสำหรับใช้ในการขนย้าย โดยแนวทางของการลงทุนจะประกาศความชัดเจนอีกครั้ง

นอกจากนี้ ปตท. ให้ความสำคัญเรื่อง Operational Excellence หรือ OpEx อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งกลุ่ม อีกทั้งมุ่งเน้นเสริมศักยภาพบุคลากรและการมุ่งรักษาพื้นฐานที่สำคัญ มุ่งเน้นธรรมาภิบาล และการกำกับกิจการที่ดี และการมีความเป็นเลิศทางด้านการเงิน (Financial Excellence) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการประกอบธุรกิจ