พาณิชย์เบรก 4 รายขอส่งออกหน้ากากอนามัย 21 ล้านชิ้น ขอใช้ภายในก่อนถึงเม.ย.คลี่คลาย

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์การเภสัชกรรม กระทรวงการต่างประเทศ และผู้ส่งออกหน้ากากอนามัย เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยในประเทศ ว่าจากการติดตามสถานการณ์ปัญหาไว้รัส COVID-19 โดยคาดว่าจะยืดเยื้อถึงเดือนเมษายน 2563 ซึ่งทางการจีนคาดว่าจะควบคุมได้ ดังนั้นภายในระยะเวลา 2 เดือนต่อจากนี้ จำเป็นจะต้องบริหารจัดการหน้ากากอนามัยไม่ให้ขาดแคลน และมีเพียงพอสำหรับใช้ในประเทศ

โดยที่ประชุมฯได้มีแนวทางให้กับผู้ส่งออกสามารถส่งออกสินค้าได้ กรณีการส่งออกหน้ากากอนามัยเฉพาะทางการแพทย์ และหน้าการอนามัยที่ใช้เฉพาะในโรงงานที่ไม่เกี่ยวกับการป้องกันโรค เนื่องจากทางโรงงานผู้ผลิตได้ขอให้กรมการค้าภายใน พิจารณาผ่อนผันเพื่อการส่งออก แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตใช้ในประเทศเท่ากับปริมาณที่ส่งออก เพื่อให้ในประเทศมีเพียงพอสำหรับการใช้ หรือการแบ่งสัดส่วนการส่งออกและจำหน่ายในประเทศให้มีปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งกรมฯจะนำแนวทางดังกล่าวที่ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาต่อไป ส่วนการขออนุญาตเพื่อส่งออกหน้ากากอนามัยล่าสุดมี 4 ราย ขออนุญาตส่งออกประมาณ 21 ล้านชิ้น โดยส่วนใหญ่ส่งออกไป จีน อเมริกา ซึ่งกรมฯ ยังไม่ได้อนุญาตให้รายใดทำการส่งออก เพราะต้องการบริหารจัดการให้ในประเทศมีสินค้าเพียงพอใช้ก่อน

ส่วนการผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อทางการแพทชย์ ขณะนี้มีโรงงานผลิตตอบรับที่จะผลิตและส่งมอบให้กับองค์การเภสัชกรรม เพื่อกระจายไปยังโรงพยาบาล หน่วยแพทย์แล้วปริมาณรวม 3.5 แสนชิ้น ขณะที่การผลิตในประเทศของโรงงาน 11 ราย ขณะนี้ ได้เร่งกำลังการผลิตเฉลี่ยวันละ 1.3 ล้านตัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 35 ล้านชิ้น ตามความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 35 ล้านชิ้น ส่วนการแจ้งสต๊อก ผู้ผลิตที่ยังไม่แจ้งสต๊อก สามารถแจ้งได้ถึงวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 นี้เป็นวันสุดท้าย และหากตรวจพบผู้ประกอบการรายได้ไม่แจ้งสต๊อกสินค้า จะดำเนินคดีจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท และปรับรายวันๆ ละ 2,000 บาทจนกว่าจะแจ้งสต๊อกสินค้าที่แท้จริงให้กรมฯทราบ

ทั้งนี้ กรมการค้าภายใน กำหนดแนวทางว่า หน้ากากอนามัยที่ขออนุญาตส่งออกเพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่มีการแพร่ระบาด เช่น จีน สามารถทำได้ แต่ผู้ส่งออกจะต้องแบ่งสัดส่วน กึ่งหนึ่ง มาให้กับศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำไปจัดสรรภายในประเทศกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น หากส่งออก 500,000 ชิ้น ต้องจัดสรรให้ศูนย์ 250,000 ชิ้น ส่งออกได้ 250,000 ชิ้น

“ผู้ผลิตและผู้ส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดรับที่จะทำตามกติกา เพื่อให้มีของส่งออกไปได้ และมีของใช้เพียงพอในประเทศ โดยผมจะนำข้อเสนอนี้หารือกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก่อนว่าจะเห็นด้วยตามนี้หรือไม่”

ส่วนหน้ากากอนามัยที่จะขอส่งออกทั้ง 21 ล้านชิ้นนั้น พบว่า เกือบจะทั้งหมดเป็นหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ไม่ใช่สเปกต์พิเศษ โดยขอส่งออกไปจีน 15 ล้านชิ้น ไปสหรัฐฯ 3.6 ล้านชิ้น ที่เหลือไปประเทศอื่นๆ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาตให้มีการส่งออกแต่อย่างใด