โรงสี “สิงห์โตทอง” ค้านประมูลข้าวจำนำลอตสุดท้าย

โรงสี

“โรงสีสิงห์โตทอง” โผล่ยื่นหนังสือร้องประธานบอร์ดองค์การคลังสินค้า (อคส.) คัดค้านประมูลข้าวสารเก่าค้างสต๊อกจากโครงการรับจำนำลอตสุดท้าย 200,000 ตัน อ้างข้าวลอตนี้ยังติดค่าเช่าคลัง-ค่าธรรมเนียม-ค่าใช้จ่ายกว่า 760 ล้านบาทระหว่างเกิดคดีความฟ้องร้องเรื่องข้าวถุงกับ อคส.ในอดีต หวั่นข้าวยังมีคุณภาพดี แต่ขายไปเป็นข้าวเสีย ทำขาดทุนราคารับจำนำอ่วม

นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือสิงห์โตทอง กรุ๊ป กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทได้ทำหนังสือไปถึงนายสุชาติ เตชจักรเสมา ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) และผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เพื่อขอให้ระงับการประมูลข้าวขาว 5% ซึ่งเป็นข้าวเก่าลอตสุดท้ายในสต๊อกรัฐบาลที่ได้มาจากโครงการรับจำนำข้าวช่วงปี 2554/2555 และ 2555/2556 โดย อคส.จะเปิดให้มีการประมูลขายข้าวจำนวนรวม 200,000 ตันในวันที่ 26 พ.ค.นี้

การทำหนังสือคัดค้านการเปิดประมูลเกิดจากข้าวลอตดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับ “คดีข้าวถุง” ในอดีต ซึ่งเดิมทางเครือสิงห์โตทองรับผลิตให้กับ อคส. แต่ภายหลังได้เกิดคดีความฟ้องร้องกัน ทางบริษัทจึงต้องส่งข้าวคืนให้ อคส.ปริมาณ 160,000 ตัน โดยกระจายไปเก็บรักษาที่คลังต่าง ๆ รวมถึงคลังที่ อคส.เช่าประมาณ 20,000 ตัน ส่วนข้าวที่เหลืออีกปริมาณ 140,000 ตัน ยังเก็บรักษาไว้ในคลังของสิงห์โตทองนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 เป็นต้นมา เนื่องจาก อคส.ไม่มีที่เช่าฝากเก็บข้าว ประกอบกับเกิดปัญหาคดีความระหว่างบริษัทกับอดีตประธานบอร์ด อคส. จึงทำให้ อคส.ไม่ยอมทำสัญญาเช่าคลังกับบริษัทนานถึง 5 ปี เพิ่งจะมาทำสัญญาให้ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561

“บริษัทสิงห์โตทองได้ทำหนังสือถึงประธานบอร์ด อคส. 2 ฉบับ ขอให้ระงับการประมูลและทวงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องใน 3 ส่วน คิดเป็นเงิน 764 ล้านบาท แบ่งเป็น ส่วนที่ 1 ค่าเช่าคลังถึงปัจจุบัน ที่ อคส.เช่าฝากข้าวปริมาณ 140,000 ตันนับจากเดือนมีนาคม 2557 คิดเป็นเงิน 190 ล้านบาท และมีดอกเบี้ยค่าเช่าอีก 85 ล้านบาท ส่วนที่ 2 เป็นค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันในโครงการรับผลิตข้าวถุงที่ อคส.ยังไม่ได้คืนให้กับบริษัทนับจากที่บริษัทได้ส่งคืนข้าวให้ อคส.แล้วเป็นเงิน 379 ล้านบาทไม่มีดอกเบี้ย โดยกรณีนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีฟ้องศาล แต่ อคส.สามารถเจรจายอมความกันได้และยังมีค่าธรรมเนียมหนังสือค้ำประกันที่ยังไม่ได้ระบุเพิ่มอีก 40 ล้านบาท และส่วนที่ 3 เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการส่งมอบข้าวถุงในอดีตคืนให้กับ อคส.ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 160,000 ตันรวมกว่า 100 ล้านบาท”

ทั้งนี้ข้าวจำนวน 200,000 ตันที่ อคส.กำลังจะเปิดประมูลครั้งใหม่ แบ่งเป็นการเปิดประมูลเป็นการทั่วไปปริมาณ 34,407 ตัน การประมูลเพื่อใช้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ (ไม่ใช่อุตสาหกรรมอาหารคน) ปริมาณ 74,299.6 ตัน และการประมูลเพื่อใช้ในกลุ่มที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ เช่น การผลิตเอทานอลอีกปริมาณ 38,592.4 ตัน

โดย อคส.ระบุจะให้ผู้สนใจเข้าไปตรวจสอบคุณภาพข้าวได้ช่วงระหว่างวันที่ 14-20 พฤษภาคมนี้ ก่อนจะเปิดให้ยื่นซองเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติในวันที่ 24 พฤษภาคม และยื่่นซองเสนอราคาซื้อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563

“ทางเราเสนอไปว่า ข้าวที่เก็บรักษาไว้เป็นข้าวที่มีคุณภาพดี แต่มีบางคลังที่ประสบเหตุไฟไหม้ หลังจากนั้นก็ไม่มีคนมาดูแลคุณภาพข้าว ปล่อยให้เก็บไว้ที่นอกคลัง ทำให้กังวลว่าราคาข้าวที่ขายได้อาจจะต่ำกว่าราคาที่รับจำนำเข้ามาเป็นราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท คิดเป็นข้าวสารตันละ 24,000 บาท หากขายเพื่อผลิตเอทานอลอาจจะได้ราคาไม่ถึง 4,000 บาท หรือขาดทุนจากราคาจำนำไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท และที่สำคัญหากดูแลการขนย้ายไม่ดีก็เสี่ยงที่จะมีการนำข้าวลอตนี้กลับมาหมุนเวียนจำหน่ายในตลาดด้วย”