บอร์ด EV เตรียมออกมาตรการภาษีดันเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ในปี 2573

Photo by Jack TAYLOR / AFP

“สุพัฒนพงษ์” เปิดแผนมาตรการดันเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ได้ 30% ในปี 2573 เป้ารถยนต์นั่ง-กระบะ แตะ 725,000 คัน รถจักรยานยนต์ 675,000 คัน รถบัส/รถบรรทุก 34,000 คัน สถานี Charge อีก 12,000 หัวจ่าย สั่งทั้ง 4 คณะอนุกรรมการฯ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมกระตุ้น

วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ครั้งที่ 2/2564 พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

เพื่อพิจารณาแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศตามนโยบาย 30/30 เพื่อก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก โดยมีกำลังการผลิตรถ ZEV อย่างน้อย 30% ของการผลิตในปี 2573 ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society) ในอนาคต

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์

นายสุพัฒนพงษ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้หลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ได้กำหนดเป้าหมายและมาตรการที่ชัดเจนในการส่งเสริม EV สำหรับประเทศไทยเองได้มีการกำหนดเป้าหมายการผลิตและการใช้ EV ในการประชุมครั้งนี้ โดยกำหนดให้ภายในปี 2573 จะมีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะทั้งสิ้น 725,000 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์จะมีการผลิตทั้งสิ้น 675,000 คัน และประเภทรถบัส/รถบรรทุกจะมีการผลิตทั้งสิ้น 34,000 คัน

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดเป้าหมายการใช้ในประเทศ การติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า และเป้าหมายการผลิตแบตเตอรี่ รวมถึงพิจารณาแนวทางส่งเสริม EV ให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดภายในปี 2573

การประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติในครั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกำหนดเป้าหมาย การติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะกระจายทั่วประเทศภายในปี 2573 สำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะในลักษณะ Fast Charge จะมีจำนวนทั้งสิ้น 12,000 หัวจ่าย และสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swap) ให้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างและส่งสินค้า Delivery จำนวนทั้งสิ้น 1,450 แห่ง

พร้อมกำหนดมาตรการส่งเสริมทางการเงินและภาษี การกำหนดมาตรฐานเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งบูรณาการให้เข้ากับระบบสมาร์ทกริด ด้านการผลิตแบตเตอรี่ได้พิจารณาจากแผนการผลิตของภาคเอกชนแล้ว ที่ประชุมจึงได้กำหนดเป้าหมายการผลิตแบตเตอรี่ให้สอดคล้องกับการผลิตรถ ZEV ในประเทศ

“ที่ประชุมยังเห็นชอบกรอบแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน โดยมุ่งเน้นให้ประเทศเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนผ่านมาตรการด้านภาษี การกำหนดมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับด้านการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามีกรอบแนวทางมาตรการด้านภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี

ส่วนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้านั้น มีแนวทางการสนับสนุนการลงทุน พร้อมทั้งหาแนวทางการลดขั้นตอน ค่าใช้จ่าย และระยะเวลาการขออนุญาตติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น

ด้านมาตรการส่งเสริมแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ได้เห็นชอบกรอบแนวทางการสนับสนุนด้านการเงินให้กับผู้ผลิต การอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบ พร้อมทั้งสนับสนุนการทดสอบมาตรฐานกับหน่วยตรวจหรือศูนย์ทดสอบภายในประเทศ และจะมีการออกกฎระเบียบแนวทางนโยบายมาตรการด้านแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วอีกด้วย

โดยการประชุมในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดกรอบแนวทาง เตรียมความพร้อมเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายที่สำคัญ ซึ่งทั้งนี้ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการนำแนวทางต่างๆ ไปศึกษาถึงรายละเอียดและความเป็นไปได้ของมาตรการส่งเสริมต่างๆ เพื่อนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป

โดยมาตรการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (ระยะเร่งด่วน) : ปี 2564 – 2565 นำร่องส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานรองรับทั่วประเทศ

ระยะที่ 2 : ปี 2566 – 2568 พัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะ 225,000 คัน รถจักรยานยนต์ 360,000 คัน และรถบัส/รถบรรทุก 18,000 คัน ภายในปี 2568 รวมถึงการผลิตแบตเตอรี่เพื่อตอบสนองการผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดแรกและถือว่าเป็นเป้าหมายการผลิตในระดับ Economy of Scale

ระยะที่ 3 : ปี 2569 – 2573 ขับเคลื่อนแผนและมาตรการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุตามนโยบาย 30/30 ซึ่งมีเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งและรถกระบะทั้งสิ้น 725,000 คัน ประเภทรถจักรยานยนต์จะมีการผลิตทั้งสิ้น 675,000 คัน คิดเป็น 30% ของการผลิตในปี 2573 และรวมถึงการผลิตแบตเตอรี่เพื่อตอบสนองการผลิตในประเทศด้วย