พายุ 6 ลูก ถล่มเกษตรกรสูญ 8,000 ล้าน GDP ภาคเกษตรปี’64 หด 0.5%

น้ำท่วมนาข้าว
แฟ้มภาพประกอบข่าว

สศก.เผยน้ำท่วมปี 2564 จากลมมรสุมพายุ 6 กระทบพื้นที่เกษตร 5.37 ล้านไร่ เสียหายแล้วกว่า 8,000 ล้านบาท คาด GDP ภาคเกษตรปี 2564 ลดลงประมาณ 4,190-5,730 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.2-0.5

วันที่ 20 ตุลาคม 2564 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลกระทบของภาคเกษตรจากสถานการณ์อุทกภัย ปี 2564 ว่า สถานการณ์เวลานี้ ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากอิทธิพลร่องมรสุมและพายุต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูก

ได้แก่ 1.พายุไซโคลน “ยาอาส” (25-29 พ.ค. 64) 2.พายุ “โคะงุมะ” (12-13 มิ.ย. 64) 3.พายุโซนร้อน “โกนเซิน” (9-10 ก.ย. 64) 4.”พายุโซนร้อน “เตี้ยนหมู่” (23-30 ก.ย. 64)  5.พายุโซนร้อน “ไลออนร็อก” (10-12 ต.ค. 64)  และ 6.พายุโซนร้อน “คมปาซุ” (13-15 ต.ค. 64) สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมาก หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน และพื้นที่การเกษตร ร่องมรสุมกำลังแรงดังกล่าว มีสาเหตุจากปรากฏการณ์ลานิญา ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลายแห่งมีปริมาณน้ำเกินกว่าระดับกักเก็บ

โดยเฉพาะเขื่อนลำพระเพลิง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จนต้องเร่งระบายน้ำออกสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน ซึ่งทำให้หลายพื้นที่เกิดอุทกภัยอย่างหนัก ซึ่งการที่ฝนตกชุกยาวนานนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ก่อให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่ 48 จังหวัดในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลกระทบต่อประชากรร้อยละ 5 ของประเทศ (จากประมาณ 69.8 ล้านคน) และพื้นที่เกษตรได้รับผลกระทบร้อยละ 6.5 ของพื้นที่การเกษตรในประเทศ

โดยศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ประเมินความเป็นไปได้ที่ปริมาณผลผลิตจะเสียหายตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยพิจารณาระดับความอ่อนไหวของพืชนั้น ๆ ต่อภาวะน้ำท่วม

“เช่นผลผลิตข้าว ประเมินว่ามีโอกาสเสียหายประมาณร้อยละ 30 ของข้าวทั้งหมดที่ปลูกในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม เนื่องจากนาข้าวส่วนใหญ่อยู่ในที่ลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมขัง”

ขณะที่พืชไร่ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง มักปลูกในที่ดอน จึงไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเหมือนข้าว

อย่างไรก็ตาม บางส่วนได้รับความเสียหายจากน้ำไหลหลาก คาดว่าโอกาสเสียหายจะอยู่เพียงร้อยละ 5 ของพืชไร่ในพื้นที่น้ำท่วมเท่านั้น ส่วนพืชผักมีโอกาสเสียหายประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูกที่โดนน้ำท่วม โดยภาพรวมมีพื้นที่เกษตรได้รับผลกระทบประมาณ 5.37 ล้านไร่ รวมทั้งสิ้น 8,058 ล้านบาท โดยประเมินสถานการณ์เป็น 2 กรณี (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2564)

1.กรณีน้ำท่วมเดือนกันยายน-กลางตุลาคม 2564 สำหรับข้าวนาปี คาดว่ามีพื้นที่เสียหาย 3.5 ล้านไร่ มีมูลค่าความเสียหาย 4,685 ล้านบาท และพืชผัก คาดว่ามีพื้นที่เสียหาย 0.18 ล้านไร่ มีมูลค่าความเสียหาย 1,069 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 6,250 ล้านบาท

2.กรณีน้ำท่วมขัง เดือนกันยายน-ตุลาคม 2564 สำหรับข้าวนาปี คาดว่ามีพื้นที่เสียหาย 5 ล้านไร่ มีมูลค่าความเสียหาย 6,692 ล้านบาท และพืชผัก คาดว่ามีพื้นที่เสียหาย 0.23 ล้านไร่ มีมูลค่าความเสียหาย 1,366 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 8,058 ล้านบาท

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ GDP ภาคเกษตรปี 2564 ลดลงประมาณ 4,190-5,730 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.2-0.5 ซึ่งเป็นการประเมินในเบื้องต้นที่ไม่ได้รวมความเสียหายด้านทรัพย์สิน ทั้งนี้ จึงต้องมีการติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่องในระยะต่อไป

ทั้งนี้ สศก.คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตจีดีพีเกษตร ปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1.7-2.7% เมื่อเทียบกับปี 2563 ส่วนการเติบโตของจีดีพีภาคเกษตร ในปี 2565 คาดว่าจะยังเติบโตเป็นบวกต่อเนื่อง

ล่าสุดในไตรมาส 3/2564 (กรกฎาคม-กันยายน 2564) จีดีพีเกษตรขยายตัว 6.5% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 1.1% เนื่องจากในปี 2563 หลายพื้นที่ของประเทศประสบภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการผลิตทางการเกษตร

โดยสาขาพืช ขยายตัว 9.6% เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ประกอบกับราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดี เช่นเดียวกับสาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 2% เป็นผลจากการเพิ่มปริมาณการผลิตตามความต้องการบริโภคของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สาขาป่าไม้ ขยายตัว 1% โดยผลผลิตไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

และสาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 4.8% ซึ่งในไตรมาสนี้มีเพียงสาขาประมง ที่ติดลบ 3% เป็นผลมาจากผลผลิตประมงทะเลมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเป็นช่วงฤดูมรสุม ส่วนปริมาณกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีทิศทางลดลง เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่การเลี้ยง ลดจำนวนลูกพันธุ์ และชะลอการลงลูกกุ้ง