ไทยวาตั้งเป้า’65 โกยหมื่นล้าน ลุยโรงงานไบโอพลาสติกผลิตจากมันสำปะหลัง

ไทยวา ตั้งเป้าปี 2565 ปั๊มรายได้หมื่นล้าน หลังปีที่ผ่านมากวาด 9.1 พันล้าน วางงบฯลงทุน 2,000 ล้านบาท ธุรกิจใหม่ผ่านการควบรวมกิจการ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผุดโรงงาน “ไบโอพลาสติก” จ.ระยอง ที่ผลิตจากมันสำปะหลัง ลั่นเป็นเจ้าแรกที่ทำในเชิงพาณิชย์ ปักธงฮับผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรอาเซียน มองสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน อานิสงส์พลิกเกมเปิดตลาดส่งออกโซนตะวันตก

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ทุกอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายและต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตและธุรกิจต่อไปได้  ในส่วนของไทยวาก็เผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยสิ่งหนึ่งที่สำคัญของเราคือการรักษาคนของเราให้ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทในปี 2564 ถือว่าแข็งแกร่งมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับใช้นวัตกรรมเพื่อลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม การบริหารการขายและการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรวมอยู่ที่ 9,105 ล้านบาท

แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลัง 4,422 ล้านบาท หรือร้อยละ 49 รายได้จากธุรกิจแป้งมันสำปะหลังมูลค่าเพิ่ม (HVA) 2,910 ล้านบาท หรือร้อยละ 32 และรายได้จากธุรกิจอาหาร 1,767 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 โดยมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศคิดเป็นร้อยละ 83 และรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 17 เรายังคงมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C ทั่วโลก ผ่านแบรนด์ มังกรคู่ กิเลนคู่ และโรส อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการทำตลาดในต่างประเทศ ปัจจุบันไทยวาได้ทำการส่งออกสินค้าไปแล้วทั่วโลก โดยมีโรงงานและสำนักงานทั้งหมด 15 แห่ง ตั้งอยู่ในประเทศไทย 9 แห่ง ประเทศเวียดนาม 3 แห่ง และยังมีสำนักงานตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศกัมพูชา และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป้าหมายของบริษัท คือการก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 10,000 ล้านบาทในปี 2565

เนื่องจากในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ลงทุนในเรื่องการพัฒนาความสามารถของบุคลากรในสาธารณรัฐประชาชนจีน เวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย ทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งคาดว่าแนวโน้มการส่งออกในปีนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถขยายฐานลูกค้าส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ นอกจากจีนและไต้หวันได้ เช่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป

ส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทจะมุ่งเน้นไปในการขับเคลื่อนธุรกิจที่มีความยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมของสินค้าที่ทางบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ระดับสากล และต่อยอดธุรกิจ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือไบโอพลาสติก ภายใต้แบรนด์ ROSECO ซึ่งผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง โดยที่โรงงานแห่งนี้อยู่ที่ จ.ระยอง จะนำเอาแป้งมันเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการสู่ไบโอพลาสติก ด้วยการวิจัยและพัฒนาใช้มันสำปะหลังเข้ามาแทนผลิตเป็นสินค้า

เช่น จาน ชาม แต่สามารถย่อยสลายได้ 100% ภายใน 60 วัน ซึ่งพืชมันสำปะหลัง โดยไทยวาจะเป็นเจ้าแรกในไทยที่ทำในเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/65 และทยอยสร้างรายได้เข้ามา ขณะที่บริษัทเตรียมลงทุนเฟส 2 เพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้ เงินลงทุน 70 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามารองรับความต้องการจากลูกค้าที่เข้ามามากขึ้น และตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจไบโอพลาสติกจะมีรายได้แตะ 1 พันล้านบาท ในช่วง 3-5 ปีนี้

นอกจากนี้ยังมุ่งขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านไทยวาเวนเจอร์ (Thai Wah Ventures)  จุดประสงค์เพื่อลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพ หรือธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อต่อยอดและพัฒนาสินค้าเกษตร ที่สามารถช่วยเสริมการเติบโตของธุรกิจหลักได้ ครอบคลุมทั้ง 4 ด้านที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นวัตกรรมด้านฟาร์มและเทคโนโลยีการเกษตร การวิเคราะห์ข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานสำหรับธุรกิจในรูปแบบ B2B พลาสติกชีวภาพและการจัดการของเสียจากกระบวนการผลิต และส่วนผสมในอาหารและเทคโนโลยีการแปรรูปแบบใหม่ ๆ

ซึ่งบริษัทได้เตรียมเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ผ่านการควบรวมกิจการ ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้ธุรกิจในเครือของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยไทยวาเวนเจอร์ มุ่งมั่นที่จะเป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรมเกษตรและอาหารสำหรับลูกค้าในรูปแบบ B2B เจ้าแรก ที่เชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก และในปี 2565

อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม กัมพูชา และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องโดยจะเห็นความชัดเจนภายในปี’65 ราว 2-3 ดีล มูลค่าลงทุนรวมในช่วง 100-1,000 ล้านบาท จะเข้ามาเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจ และจะต้องมีรีเทิร์น (กำไร) กลับมาไม่ต่ำกว่า 15-20%

นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนา Healthy Food เป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เช่น วุ้นเส้นดัชนีน้ำตาลต่ำ เป็นตัวเลือกให้กับผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงกำลังสนใจกลุ่ม plant based protein โดยนอกจากมันสำปะหลัง ยังมีการวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ด้วยในประเทศไทย เช่น ข้าว ถั่วเขียว ข้าวโพด ในการพัฒนาเป็นโปรตีนทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในอนาคต

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ในช่วง 5 ปีจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 50% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องทุกปี และมั่นใจว่ากำไรที่ตั้งเป้ากำไรเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า จากการที่มีสินค้าที่สร้างมาร์จิ้นสูงเข้ามาเสริมมากขึ้น โดยที่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้กลุ่มสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (HVA) อยู่ที่ 32% และคาดว่าจะเห็นการปรับเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับกลุ่มสินค้าแป้งมันสำปะหลังในสัดส่วนราว 40% ภายใน 5 ปี จากการลงทุนดังกล่าว

“ทิศทางธุรกิจปีนี้ประเมินว่า ความต้องการในผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร ขณะที่ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ตามความต้องการใช้แป้งมันสำปะหลังของตลาดชั้นนำอย่างประเทศจีน”

ส่วนปริมาณหัวมันสำปะหลังในฤดูการผลิตในปี 2564/65 คาดว่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 33.0 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังส่วนแนวโน้มการส่งออกปีนี้คาดว่าจะโตต่อเนื่อง ด้วยกำลังผลิต 2,000 ตันต่อวัน หรือ 1.2 ล้านตันต่อปี รวมถึงจะมีการขยายการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ อินเดียนอกจากจีนและไต้หวันมากขึ้น ยังมี สหรัฐ และสหภาพยุโรป

สำหรับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลังและความต้องการในผลิตภัณฑ์อาหารปีนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีปัจจัยเรื่องความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่เข้ามากระทบในระยะสั้น แต่ในระยะกลางเชื่อว่าจากศักยภาพของตลาดในโซนตะวันตกที่มีกำลังซื้อที่สูงน่าจะเป็นโอกาสของบริษัทเองเช่นกัน ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งจะเข้ามาเสริมตลาดในเอเชียที่บริษัทการขายในไทย จีน เวียดนาม และประเทศอื่นในอาเซียน ที่เป็นตลาดหลักในเอเชียของบริษัทไปพร้อมกับผลิต พัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีตัวเลือกที่หลากหลาย แต่ละปีราว 10 รายการ โดยปีนี้มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่เพิ่มอีก 8-10 รายการอีกด้วย

“โควิดที่ผ่านมา แม้บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในแง่ของปริมาณการขาย แต่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากปัญหาขาดแคลนเรือ ส่งผลให้ลูกค้าหาเรือได้ไม่ทันตามกำหนด ซึ่งบริษัทได้มีการเตรียมรับมือในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง และล่าสุดก็ต้องจับตาสถานการณ์รัสเซีย ยูเครน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของบริษัทเช่นกันหากผลผลิตขาดแคลน น่าจะ เพิ่มโอกาสส่งออกและเปิดตลาดใหม่ได้ในอีกทาง”

ทั้งนี้ ไทยวา ยังมุ่งที่จะขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานการผลิตและการส่งออก รวมถึงการขยายฐานผู้บริโภคให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ผ่านนวัตกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร

ทั้งนี้เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างความมั่นคงทางอาหารและความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการสร้างคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน ในปี 2564 เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และมั่นใจว่าจะสามารถรักษาการเติบโตต่อไปได้อีกในปี 2565 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เป็นปีที่เราครบรอบ 75 ปี และยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน