งบประมาณ 2566 : สุพัฒนพงษ์ เผย 3 ปี ใช้เงินอุ้มพลังงาน 2.06 แสนล้าน

สุพัฒนพงษ์ ลั่น ราคาน้ำมันไทย ถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เผย สำรองฉุกเฉินมากกว่า 2 เดือน 3 ปี ใช้เงินออกมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานไปแล้ว 2.06 แสนล้าน ชี้ วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อ ต้องปรับตัว เผย ไทม์ไลน์ นักลงทุนต่างชาติ 3 ประเทศ ซาอุฯ-ญี่ปุ่น-อเมริกา ยกคณะนักธุรกิจชุดใหญ่ หาโอกาสลงทุนในไทย

วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ที่รัฐสภา นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ลุกขึ้นชี้แจงถึงการแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงาน ว่า เราเพิ่งผ่านเศรษฐกิจที่ประสบกับวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยกำลังจะฟื้น การท่องเที่ยวกำลังดำเนินการมาได้ด้วยดี จากภูเก็ตแซนด์บอกซ์ จากพลังแห่งความร่วมมือ เราเพิ่งประเปิดประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม และเปิดจริงจังเมื่อเดือนพฤศจิกายน 64 ถึงวันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว 1.2 ล้านคน และมีรายได้ทยอยเข้ามา

ซึ่งรัฐบาลเข้าใจ ราคาพลังงานปรับสูงเร็วคงเป็นไปไม่ได้ ต้องให้ประชาชนมีการปรับตัว โดยรัฐบาลมีมาตรการอุดหนุนน้ำมันดีเซล 50 % ของราคาเป้าหมาย ส่วนเรื่องราคาก๊าซหุงต้มก็ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ค่อย ๆ ปรับขึ้นไป ส่วนต่างรัฐยังคงใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภาษีสรรพสามิต ราคาค่าไฟฟ้าก็ขึ้นเป็นขั้นบันได ค่อยเป็นค่อยไป ก๊าซ NGV ก็ตรึง รวมถึงแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วย

“สิ่งสำคัญหน้าที่ของกระทรวงพลังงานและรัฐบาล คือ ยังต้องรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งวันนี้เรามีน้ำมันสำรองถึง 2 เดือนกว่า และพยายามจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันยังจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คือ เรื่องของราคา ซึ่งราคาน้ำมันในประเทศยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศประสบปัญหา เริ่มขาดแคลนจริง ๆ แล้วราคาเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้ ลองดูถึงเสถียรภาพ เราได้ทั้งเสถียรภาพ เราได้ทั้งราคา รัฐบาลพยามยามทำอย่างเต็มที่ เสมือนหนึ่งราคาปกติ ราคาก็ไม่แพงมากนัก เพราะเราเพิ่งพ้นวิกฤตโควิด กำลังฟื้นฟู รายได้กำลังไหลเข้าประเทศ คงไม่เร่งให้อัตราเงินเฟ้อเร็วเกินไป และไม่ก่อให้เกิดภาระมากเกินไป” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว 

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ทั้งหมดทั้งปวง รักษาเสถียรภาพทางพลังงาน รักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดูแลคนเปราะบางที่ได้รับความเดือดร้อน ใครอยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือกันได้ก็ประคับประคองกันไป สิ่งสำคัญ คือ เรายังรักษาเสถียรภาพทางความมั่นคงทางการเงินและทางการคลังไว้ได้อย่างดี อันดับความน่าเชื่อถือยังไทยยังอยู่ในอันดับเดิม ตั้งแต่ก่อนโควิดถึงวันนี้หลังโควิดแล้วประสบกับวิกฤตซ้อนวิกฤตก็ยังรักษาอยู่ไว้อย่างเดิม เพื่อให้คงความสามารถและความเข้มแข็งที่จะสนับสนุนการเจริญเติบโต หรือ ฟื้นฟูให้กับประเทศไทยหลังจากนี้เป็นต้นไป

“เสถียรภาพทางการเงิน เสถียรภาพทางการคลังต้องเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอมากจนเกินไป จึงต้องรักษาความสมดุลระหว่างการดูแลและการปรับกลไกราคาให้สอดคล้องกับราคาตลาดเสรี แบบค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศเขาไม่ทำกัน หลายประเทศถ้าเห็นราคาพลังงานเขาปล่อยไหลเลย แต่ของประเทศไทยเราค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป รวมแล้ว ยอดสุดท้ายเฉพาะมาตรการที่รัฐบาลช่วยเหลือด้านพลังงานใช้ไปแล้ว 206,903 ล้านบาทในการดูแลประคับประคองให้ผ่านพ้นไป” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า เชื่อว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนจะค่อย ๆ ปรับตัวพวกเราไปแล้ว แล้วจะผ่านไปได้อีกครั้ง เหมือนกับเราผ่านวิกฤตโควิด ถ้าถามว่า ระหว่างวิกฤตโควิดกับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน คนละแบบกัน โควิด หนัก ลึก และไม่เห็นทางออก แต่พอได้ทางออกแล้วก็จบได้ แต่รัสเซีย-ยูเครน เป็นเรื่องของความยืดเยื้อ สำคัญที่สุด คือ ร่วมไม้ร่วมมือกันที่จะรักษาความสามัคคีในประเทศ    

“อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร อยากจะให้เห็นว่า ผลพวงจากโครงสร้างสร้างพื้นที่ที่รัฐบาลทำไว้รองรับผลในอนาคต ทำอยู่ในปัจจุบันแล้วจะแล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปีนี้ การดึงดูดการลงทุนมีเกิดขึ้นจริง นายกรัฐมนตรีไปเยือน 3 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา มีความสนใจ จะมีการนำคณะนักธุรกิจชุดใหญ่เข้าสู่ประเทศไทยเพื่อจะมาดู มาหาโอกาสการลงทุนจากความเชื่อที่เขาได้ศึกษามาว่า

ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างไร จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่ไตรมาสที่สาม ไตรมาสที่สี่ และต้นไตรมาสแรกของปีหน้า เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า มีความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเกิดขึ้นแล้ว ส่วนเราจะเก็บเกี่ยวได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีรอยยิ้ม มีความสงบเรียบร้อย สร้างความมั่นใจให้มากที่สุด ให้คนกลุ่มเหล่านี้เข้ามาพัฒนาในสิ่งใหม่ ๆ” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว