กกร.ลุ้นส่งออกหลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ชี้ท่องเที่ยวช่วย GDP ไม่หลุดเป้า

Photo by STR / AFP) / China OUT

กกร.ประเมินเศรษฐกิจโลกกระทบครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทย หวั่นส่งออกหดตัวตามยังใจสู้คงเป้า GDP ไว้ที่กรอบเดิม 2.5-4.0% ส่งออก 3.0-5.0% เงินเฟ้ออาจทะลุ 5.5%

วันที่ 1 มิถุนายน 2565 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการ กกร. เปิดเผยว่า ภาคการส่งออกไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง

เศรษฐกิจโลกเผชิญ headwind จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ความกังวลเกี่ยวกับอาหารขาดแคลน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อในระดับสูง การขาดแคลนสินค้าสำคัญใน supply chain ภาคอุตสาหกรรม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของหลายธนาคารกลาง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่จีดีพีอาจจะขยายตัวเพียง 4.5% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 5.5%

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และอาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยมีสัญญาณเตือนจากตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนและญี่ปุ่นในเดือนเม.ย. 2565 ที่หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

แต่สำหรับภาพรวมการส่งออกเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาตัวเลขการส่งออกยังเติบโตได้อยู่ในระดับ 9.9% ด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ Supply ยังสามารถไปได้ แต่ยังประสบภาวะราคาค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้นจากราคาพลังงานที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น

ด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี แม้อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจะฉุดรั้งกำลังซื้อและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ แต่เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะได้รับแรงส่งจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้น การเปิดประเทศเมื่อ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นชัดเจน

ซึ่งคาดว่าเป้าหมายนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ตั้งไว้ 6-8 ล้านคน น่าจะเป็นไปได้ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางในประเทศมีสัญญาณที่ดี โดยขณะนี้ฟื้นตัวได้แล้วถึงระดับ 80% ของจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2562 ดีกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 70% และในระยะข้างหน้ายังได้อานิสงส์จากการขยายสิทธิโครงการเราเที่ยวด้วยกันเพิ่มเติม

ส่วนเรื่องของวิกฤตอาหารโลกรุนแรงขึ้นนั้น จนหลายประเทศระงับการส่งออกอาหาร ขณะที่ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มเติม สงครามยูเครน-รัสเซียที่ยืดเยื้อทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของโลกในภาพรวมลดลง ส่งผลให้ดัชนีราคาอาหารโลกในเดือน เม.ย. 2565 ปรับเพิ่มขึ้นถึง 29.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้หลายประเทศเริ่มเผชิญกับการขาดแคลนอาหาร และทำให้กว่า 20 ประเทศใช้มาตรการห้ามส่งออกอาหาร โดยเฉพาะในกลุ่มข้าวสาลี น้ำตาล และน้ำมันพืช

สำหรับประเทศไทยคาดว่าโอกาสที่จะเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารมีน้อย เนื่องจากความต้องการบริโภคอาหารยังน้อยกว่าผลผลิตที่ผลิตได้ในประเทศ อีกทั้งในปี 2565 มีปริมาณสินค้าคงคลังสำหรับสินค้าอาหารสำคัญ เทียบกับความต้องการในประเทศในระดับสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับในอดีต ดังนั้น การที่หลายประเทศตัดสินใจระงับการส่งออกจะเป็นโอกาสของการส่งออกสินค้าของไทย อย่างไรก็ตาม ต้องมีการติดตามและบริหารจัดการสต๊อกสินค้าเกษตรและอาหารที่ดี รวมทั้งบริหารจัดการไม่ให้เกิดการขาดแคลนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี และอาหารสัตว์

ดังนั้น ที่ประชุม กกร.ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในกรอบเดิม แม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง รวมทั้งต้นทุนและเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นแต่การท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังขยายตัวจะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ทำให้ที่ประชุม กกร.คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 2.5- 4.0% ในกรอบเดิม และคงประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3.0-5.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 ว่าจะขยายตัวในกรอบ 3.5-5.5%

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า สมาคมธนาคารไทย กรมสรรพากร และบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) ร่วมด้วยสถาบันการเงิน 11 แห่ง ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่อง การเข้าถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อสนับสนุนข้อมูลสำหรับการให้บริการธุรกรรมภาษี เมื่อระบบนิติบุคคลสำเร็จ ก็พร้อมต่อยอดนำไปขอข้อมูล ภงด. เพื่อประกอบการขอสินเชื่อ หรือขยายผลไปยัง Use Case อื่น ๆ เช่น Smart Financial Infrastructure การใช้บริการภาครัฐแบบ Pure Digital ทั้งหมดต้องช่วยกันผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ

สำหรับประเด็น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ PDPA ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (1 มิ.ย. 65) จะเป็นเรื่องที่ดีและสร้างมาตรฐานให้กับการทำธุรกิจ แม้ว่าเรื่อง PDPA ได้มีการประกาศออกมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่หลายฝ่ายยังคงกังวลในแนวปฏิบัติของกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกลงโทษ ตามบทลงโทษที่รุนแรงตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันกฎหมายลำดับรองกว่า 20 ฉบับยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

กกร.จึงได้เสนอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนการไม่ใช้บทลงโทษจนกว่าจะออกกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนในการปรับปรุงระบบที่ซ้ำซ้อนหรือไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ภาครัฐควรเน้นการประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจให้ภาคเอกชนและประชาชนในการศึกษาเตรียมตัวในระยะเวลาที่เพียงพอเหมาะสม ซึ่งจะช่วยทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์และเป็นประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ

นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องแผนการเดินหน้าเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย และก็เห็นว่าจำเป็นต้องมีการศึกษา เรื่อง Competitiveness Index ที่ IMD ศึกษามาวิเคราะห์รายละเอียด พร้อมกับทำเรื่อง BCG (Bio-Circular-Green) ที่สอดคล้องกับ Sustainable Development Goal เพื่อให้เกิดแผนและรูปแบบที่ชัดเจนสำหรับภาคเอกชนในการขยายผลไปสู่การดำเนินธุรกิจต่อไป