ฟาร์มไก่ขอขึ้นราคา 2 บาท ต้นทุนอาหารสัตว์-น้ำมันต้นทุนค่าขนส่งพุ่ง 20%

ฟาร์มไก่ขอขึ้นราคา 2 บ./ กก. หลังต้นทุนอาหารสัตว์-น้ำมันต้นทุนค่าขนส่งพุ่ง 20%   

ฟาร์มไก่ขอปรับราคาหน้าฟาร์ม 2 บ./กก. เป็น 41 บ./กก. หลังจากต้นทุนอาหารสัตว์-น้ำมันพุ่ง กระทบค่าขนส่งขยับ 20% 

วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า
ล่าสุดไก่เนื้อหน้าฟาร์ม จำเป็นต้องปรับราคาจากเดือนมกราคม 2565 ที่ราคา 39 บาท เป็น 41 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังคงยืนราคานี้เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้

เนื่องจากต้นทุนการผลิตเฉลี่ยในปัจจุบันประมาณ 42-43 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นผลมาจากราคาข้าวโพดเลี้ยงสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปีนี้เกินกว่า 13 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ การปรับเพิ่มราคาน้ำมันดีเซลในประเทศจากลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 35 บาท ยังส่งผลให้ค่าขนส่งสูงขึ้น 20% เป็นค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรต้องแบกรับไว้ด้วย ซึ่งผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตก็ต้องรับภาระต้นทุนสูงขึ้นไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม คนไทยไม่ต้องกังวลว่าเนื้อไก่จะขาดแคลน โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตเนื้อไก่ไทยปี 2565 อยู่ที่ 2.93 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศประมาณ 1.99 ล้านตัน และจะมีการส่งออกผลผลิตส่วนเกินประมาณ 900,000 ตัน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในประเทศไม่ให้ตกต่ำจนเกษตรกรไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ ที่สำคัญไก่ที่นำไปส่งออกไม่กระทบต่อการบริโภคของคนไทยแน่นอน

ทั้งนี้ปัจจุบันคนไทยบริโภคเนื้อไก่ประมาณ 21 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 การบริโภคลดลงมาก เนื่องจากการทำงานที่บ้านและการเรียนออนไลน์ของโรงเรียนทั่วประเทศ ในปีนี้การบริโภคลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง ทำให้ผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายและซื้ออาหารแค่เพียงพอในแต่ละมื้อ ไม่ซื้อจำนวนมากเช่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เนื้อไก่ยังเป็นโปรตีนคุณภาพสูงที่ราคาสมเหตุผล เป็นทางเลือกให้กับประชาชนซื้อหาทดแทนเนื้อสัตว์ชนิดอื่น

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไม่ต่างกับผู้ประกอบการธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องเผชิญภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ น้ำมัน และปัจจัยการผลิตและการป้องกันโรค จึงมีความจำเป็นต้องปรับราคาหน้าฟาร์มขึ้นบ้างให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ หากเนื้อไก่ถูกควบคุมราคามากเกินไป เกษตรกรโดยเฉพาะรายย่อยและรายเล็กไม่สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ต้องปิดกิจการแน่นอน การปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด โดยภาครัฐกำกับดูแลเป็นการสร้างสมดุลผู้บริโภคและเกษตรกรให้อยู่รอดในภาวะวิกฤตไปด้วยกัน

“ช่วง 2 ปีมานี้ เกษตรกรเลี้ยงไก่เนื้อประสบปัญหาการบริโภคลดลงตั้งแต่เกิดโรคระบาดโควิด-19 สวนทางกับต้นทุนผลิตสูงขึ้นต่อเนื่อง มาปีนี้เจอวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซ้ำเติมอีก ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 30-40% ต้นทุนพลังงานสูงขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ที่สำคัญการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ BA.4 และ BA.5 หากส่งผลให้มีการล็อกดาวน์อีกครั้ง เกษตรกรอาจต้องประสบปัญหาขาดทุนมากกว่าที่แบกภาระในปัจจุบัน” นางฉวีวรรณกล่าว

นางฉวีวรรณ กล่าวว่า ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจการปรับราคาเนื้อไก่เป็นตามกลไกตลาด ที่สร้างความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรและผู้บริโภค การควบคุมราคาสินค้ามากเกินไปในภาวะวิกฤตอาจจะทำให้ผู้ประกอบการขาดทุนสูงจนไม่สามารถแบกภาระขาดทุนต่อไปได้จนทำให้เลิกกิจการ จะทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมลดลงและอาจจะหายไปจากตลาด หรือราคาผลผลิตน้อยและมีราคาสูงกว่าปกติ จะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศมากกว่าการปล่อยให้ราคาปรับขึ้นได้อย่างสมเหตุผลตามต้นทุนที่แท้จริง