เอสเอ็มอีเตรียมเฮ พีระพันธุ์จ่อยื่นแก้กฎหมายสร้างแต้มต่อรายย่อย

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

“พีระพันธุ์” ขึ้นเวทีสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โปรยยาหอมเร่งแก้กฎหมาย-ระบบราชการ ที่ล้าสมัยเพื่อหนุนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดย่อม ขนาดกลาง ส่งเสริมดูแลให้ทำธุรกิจได้คล่องตัว พร้อมจี้สถาบันการเงินลดเงื่อนไขด้านเงินกู้ แทนการมุ่งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ เชื่อประเทศจะไปข้างหน้าได้ทุกคนต้องโตไปด้วยกัน

วันที่ 20 กรกฎาคม 2565 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงาน SME Talk EP.3 “SME ต้องมีแต้มต่อ” ในหัวข้อ นโยบายรัฐกับการให้แต้มต่อ SME ว่า เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ยากลำบากทั่วโลก จากผลกระทบโควิด-19 และสงครามยูเครน ส่งผลถึงการตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลก สิ่งสำคัญตอนนี้จะทำอย่างไรที่จะให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่รอด อยู่ให้เป็น อยู่ให้เย็น อยู่ให้ยาว เพื่อให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ จากนั้นจะสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้อย่างแน่นอน

ซึ่งองคาพยพที่เป็นภาครัฐ หรือธนาคารที่เป็นสถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งตนเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วคงรู้ว่าปัญหามันคืออะไร ทั้งเรื่องของระบบราชการที่ล้าสมัย และความยุ่งยากในเรื่องเงื่อนไขของสถาบันการเงินในการเข้าถึงแหล่งทุนต่าง ๆ ในระบบราชการของไทย ปัญหาคือการควบคุมอนุญาตต้องออกโดยราชการ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

“ผมเห็นว่าการคิดต่อยอดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้สามารถขยายธุรกิจออกไปได้อีก สิ่งสำคัญคือจะต้องได้รับการส่งเสริมจากรัฐ ในการให้โอกาสมากขึ้น เชื่อว่าเอสเอ็มอีจะเติบโตไปได้ เพราะคนไทยมีความคิด แต่ไม่มีโอกาส และไม่มีเงินทุน” นายพีระพันธุ์กล่าว

พร้อมกันนี้ มองว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐ เพื่อส่งเสริมเอสเอ็มอีมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายงบประมาณที่ควรจะมีข้อกำหนดว่าส่วนหนึ่งที่เป็นเงินภาษีของคนไทย ต้องนำมาอุดหนุนสินค้าของเอสเอ็มอีได้ด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ลืมตาอ้าปากได้

“กฎหมายงบประมาณไทยไม่ได้รับการแก้ไขมานาน มีเพียงการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การปรับปรุงเพื่อส่งเสริมธุรกิจเล็ก ๆ ไม่มี ตนเห็นว่าที่ผ่านมา ธุรกิจยิ่งใหญ่ยิ่งได้เปรียบ เพราะมีอำนาจต่อรองกู้เงินก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่เอสเอ็มอีลำบากกว่าเพราะถูกกำหนดเงื่อนไขมากมาย ทั้ง ๆ ที่คนตัวเล็กควรจะได้แต้มต่อถึงจะโตได้ เหมือนเด็กถ้าไม่ให้กินนมจะโตได้อย่างไร ถ้าจะทำให้บ้านเมืองนี้เจริญได้จะต้องส่งเสริมกิจการเล็ก ๆ เป็นพี่เลี้ยงดูแลเรื่องการระบบธุรกิจต่าง ๆ และจะต้องให้โอกาส ให้เงินทุน เชื่อว่าหากทำแบบนี้ได้ ประเทศไทยจะมีบริษัทใหญ่ ๆ ที่มาจากบริษัทเอสเอ็มอีอีกมาก”

“บริษัทใหญ่ ๆ เขามีโอกาสทำธุรกิจมีทางทำมาหากินอยู่แล้ว หนึ่งบริษัทกี่ตระกูล แต่ถ้าเทียบวงเงินเท่ากันในการลงทุนของเอสเอ็มอี จะได้กี่ธุรกิจ กี่บริษัท กี่ตระกูล ดังนั้นมันถึงเวลาที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายตั้งแต่ต้น การจัดตั้งเอสเอ็มอีจะต้องทำอย่างไร ไม่ได้หมายความถึงจดทะเบียน แต่หมายถึงทำอย่างไรที่จะมีเงินหมุนเวียนมั่นคง เมื่อจัดตั้งได้แล้วทุนที่ได้มาต้องอยู่ในวิสัยที่จะชำระได้ เงื่อนไขการปล่อยเงินกู้จะต้องไม่เหมือนธุรกิจใหญ่ เหมือนการเอาเด็กเล็กไปแข่งกับนักกรีฑาระดับประเทศแต่กลับไม่มีแต้มต่อ”

และหากมีอุปสรรคควรจะต้องมีหลักเกณฑ์การผ่อนคลายด้านการเงินให้กับเอสเอ็มอีด้วย เช่นการฟื้นฟูกิจการ ในขณะที่กิจการใหญ่ ๆ เมื่อเจออุปสรรคสามารถร้องขอฟื้นฟูได้ ขณะที่เอสเอ็มอีแม้จะไม่ห้ามเรื่องการฟื้นฟูกิจการ แต่กำหนดว่าจะต้องสิบล้านขึ้นไป มีคำถามว่าทำไมต้องสิบล้านแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ บริษัทเล็ก ๆ จะรอดได้อย่างไร

นอกจากนี้ หากมีโอกาสยังคิดว่าจะต้องแก้ไขเรื่องของเครดิตบูโร ซึ่งตนเป็นกรรมาธิการในยุคแรก และข้อกำหนดของเครดิตบูโรปัจจุบัน ไม่ใช่เจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะตนเคยบอกในที่ประชุมว่า เมื่อลูกหนี้ใช้หนี้เสร็จแล้วต้องปลดล็อกทันที และต้องลบประวัติอย่างนั้นคนไม่เกิด ขณะนั้นก็ถูกบอกว่าจะไปดูแลจะแก้ไข เขียนกฎเกณฑ์กติกาตามที่แนะนำ แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องแก้ไขด้วย เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กัน เพราะเชื่อว่าการที่ประเทศจะเดินไปข้างหน้าได้ทุกคนจะต้องโตไปด้วยกัน

“ผมอยากบอกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีว่าอย่าหวัง อย่าหมดกำลังใจ อยากให้ช่วยกันแบบเพื่อนช่วยเพื่อน แล้วก็หวังว่าวันหนึ่งบรรดาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จะถูกแก้ไขเพื่อที่จะได้ใช้ในการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง และถ้าหากวันหนึ่งผมมีโอกาสที่ผมก็จะเข้าไปทำ” นายพีระพันธุ์กล่าว