สรท.คาดการณ์ใหม่ทั้งปี 2565 ส่งออกไทยโต 6-8%

สรท.คาดการณ์ใหม่ทั้งปี 2565 ส่งออกไทยโต 6-8%
ภาพจาก pixabay

สรท.มั่นใจส่งออกครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง เสนอรัฐควบคุมต้นทุนให้แข่งขันได้ พร้อมปรับคาดการณ์ทั้งปี ไทยมีโอกาสส่งออกได้ 6-8%

วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เปิดเผยว่า สรท.คาดการณ์การส่งออกรวมปี 2565 ทั้งปีที่ 6-8% ปรับคาดการณ์จากก่อนหน้าที่มองว่าทั้งปีโต 5.8% และหากจะให้การส่งออกขยายตัวได้ 6% หรือมีมูลค่า 288,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉลี่ยต่อเดือนจากนี้ไทยต้องส่งออกอยู่ที่ 23,190 ล้านเหรียญสหรัฐ และหากจะส่งออกให้ได้ 8% หรือมีมูลค่า 293,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากนี้ต้องส่งออกต่อเดือนเฉลี่ย 24,097 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ หากภาพการส่งออกครึ่งปีหลัง สถานการณ์วัตถุดิบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะชิปดีขึ้นก็มีโอกาสท้าทายที่เป็นไปได้ว่าการส่งออกไทยโต 10% อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะหนุนให้การส่งออกโต ค่าเงินบาทเสถียรภาพมองไว้ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ น้ำมันดิบ 100-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาวัตถุดิบไม่ผันผวน ตู้คอนเทนเนอร์เพียงพอเชื่อว่ามีโอกาสที่ส่งออกไทยจะโตไปได้มาก

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2565 ได้แก่ 1) สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อโลกที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง IMF คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ประเทศพัฒนาแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6% และประเทศเกิดใหม่หรือประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 9.5% ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคในระดับกลางและระดับล่างทั่วโลกมีสัญญาณชะลอตัว

2) ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง จากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก

เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตสินค้า รวมถึงต้นทุนการขนส่งที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก 3) สถานการณ์ค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลยังทรงตัวในระดับสูงและเริ่มมีการปรับลดลงในหลายเส้นทาง แต่พบว่าค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่สถานการณ์ตู้เปล่าที่นำเข้ามาในประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

4) ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย เป็นต้น 4.1) ขณะที่บางประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการทางภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อคลายความตึงตัวของราคาขายในประเทศที่ปรับสูงขึ้นจากผลกระทบเงินเฟ้อ และ 4.2) หลายประเทศเริ่มมองหาความร่วมมือด้านความมั่นคงในเชิงห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น

ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญประกอบด้วย 1) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย คงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อประคองให้การฟื้นตัวภาคธุรกิจยังคงดำเนินการได้ และไม่เป็นการซ้ำเติมรายจ่ายของผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป

1.1) ขอให้ธนาคารพาณิชย์เร่งออกแคมเปญ เพื่อช่วยเติมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการส่งออกตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต

2) เร่งสร้างโอกาสทางการในตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ เช่น CLMV รวมถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่นกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย อิรัก เป็นต้น 3) รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ผ่านเครื่องมือหรือกลไกในการควบคุม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากเกินไป

ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมิถุนายน 2565 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YOY) พบว่า การส่งออกมีมูลค่า 26,553.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 907,286 ล้านบาท ขยายตัว 22.7% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมิถุนายนขยายตัว 10.4%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,082.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 24.5%

และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 971,481 ล้านบาท ขยายตัว 36.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2565 ขาดดุลเท่ากับ 1,529.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 64,195 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม-มิถุนายนของปี 2565 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YOY) พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 149,184.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 12.7% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 4,945,248 ล้านบาท ขยายตัว 23.1% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม-มิถุนายนขยายตัว 9%)

ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 155,440.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 5,223,277 ล้านบาท ขยายตัว 32% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-มิถุนายนของปี 2565 ขาดดุลเท่ากับ 6,255.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 278,029 ล้านบาท