กลุ่ม “ดิษยะศริน” สยายปีก เปิด D-PREP เสริมพอร์ตการศึกษา

“ดิษยะศริน” เป็นตระกูลที่ได้ชื่อว่าเป็น “ครอบครัวแห่งการศึกษา” ของประเทศไทย ด้วยประวัติการสืบทอดงานด้านการศึกษาจากรุ่นสู่รุ่น จนปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาที่ปรากฏนามสกุล “ดิษยะศริน” เป็เจ้าของทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดหลายแห่ง

โดยในจังหวัดสงขลามีโรงเรียนเตรียมบัณฑิตพิชชาลัย, โรงเรียนอักษรศิริ, วิทยาลัยเทคโนโลยีหาดใหญ่อำนวยวิทย์ และมหาวิทยาลัยหาดใหญ่

ขณะที่ในกรุงเทพมหานครมีโรงเรียนดิ อเมริกัน สคูล ออฟ แบงค็อก (The American School of Bangkok : ASB) ซึ่งมีแคมปัสอยู่ที่สุขุมวิท 49 และกรีนวัลเล่ย์ (ถนนบางนา-ตราด กม.15)

ล่าสุดทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูล “พัชรลักขณ์ ดิษยะศริน ตะเวทิกุล” ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติ ดิษยะศริน อินเตอร์เนเชอร์แนล เพร็พพะทอรี สคูล แบงค็อก (Didyasarin International Preparatory School Bangkok) หรือ D-PREP โดยเธอจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการศึกษาจากวิทยาลัยครู มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเคยเป็นอาจารย์สอนที่ Columbus Pre-School, Blue School

หลังจากเรียนจบกลับมาช่วยงานคุณแม่ (ลักขณา ดิษยะศริน) ที่ ASB เป็นเวลา10 ปี รวมถึงยังเปิดเนิร์สเซอรี่ภายใต้ชื่อASB ที่เมกาบางนาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

สำหรับ D-PREP ที่ “พัชรลักขณ์” ปลุกปั้น มีพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ ตั้งอยู่ด้านหลังเมกาบางนา ใช้งบฯลงทุนไปกว่า 200 ล้านบาท เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเนิร์สเซอรี่ถึงเกรด 8 ด้วยหลักสูตรนานาชาติ International Baccalaureate Programme (IB) มีค่าเทอมอยู่ที่ 4-5 แสนบาทต่อปี

“จากชื่อย่อโรงเรียนของเรา PREP พ้องกับคำแปลว่าเตรียม สอดคล้องกับสโลแกนโรงเรียนที่ว่า Dream Discover Delivery คือนอกจากพัฒนาด้านความรู้ให้กับเด็กแล้ว ยังเตรียมความพร้อมทั้งด้านจิตใจ ความคิด ร่างกาย และจิตวิญญาณ เพื่อให้พวกเขาค้นพบความฝัน และก้าวข้ามขีดจำกัดความสามารถของตนเอง”

ผู้อำนวยการโรงเรียน D-PREP เล่าถึงแนวคิดของโรงเรียนแห่งนี้ พร้อมบอกว่าเราตั้งเป้าให้ D-PREP เป็นโรงเรียนที่เตรียมเด็กให้สามารถรับมือกับศตวรรษที่ 21 ซึ่งการเรียนรู้แค่วิชาการไม่เพียงพอแต่ต้องมีการเรียนรู้เรื่องวิถีการใช้ชีวิต โดยตนได้แรงบันดาลใจจาก ร.9 ที่ตรัสว่าคนเรานั้นถ้าจะเรียนให้เก่งต้องมีความอยากเรียน และตั้งเป้าก่อนว่าอยากจะพัฒนาตัวเอง แล้วหาความรู้ด้วยการมีคุณธรรมในใจ และนำความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นพร้อมกับต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะโลกเปลี่ยนตลอดเวลา

“เมื่ออ่านแนวทางของในหลวง ร.9 เราก็เห็นว่านี่เป็น project-based learning เพราะท่านบอกว่าคนที่รู้วิชาการ แต่ไม่รู้การปฏิบัติคือไม่ได้รู้จริง เราจึงนำมาเป็นแนวทางของโรงเรียนเรา โดยการสอนแบบโปรเจ็กต์ ครูไม่ได้บอกเด็กว่าต้องทำอย่างไร แต่จะให้เขาได้ฝึกคิด และปฏิบัติผ่านการทำงานเป็นทีมทำให้เขาสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ การสอนวิธีนี้จึงเหมือนสอนให้เขามีเป้าหมาย แล้วทำให้เป้าหมายสำเร็จ ซึ่งคล้ายกับชีวิตจริง”

ขณะเดียวกัน มีคลาสสอนการใช้ชีวิตให้กับเด็กด้วย เริ่มตั้งแต่ชั้น ป.1 เป็นต้นไป จะเป็นเรื่องของการดูแลตัวเอง, การเลือกกินอาหาร, การนำหลักธรรมะมาผสมผสานในชีวิต, work life balance รวมถึงการมีเมตตากับคนอื่น และการซื่อสัตย์กับคนอื่น โดยทุกเรื่องจะถูกสอนผ่านการทำโปรเจ็กต์ทั้งหมด


ทั้งนี้ D-PREP จะเปิดสอนในปีการศึกษา 2561 เบื้องต้นเปิดรับถึงชั้น ป.3 เพราะต้องการให้เด็กเล็กเติบโตขึ้นมาพร้อมกับแนวคิดที่โรงเรียนปลูกฝังไว้ โดยตอนนี้มีเด็กมาสมัครแล้ว 100 กว่าคน ซึ่งโรงเรียนสามารถรองรับเด็กได้สูงสุด 300-400 คน และในอนาคตจะขยายชั้นเรียนถึงระดับไฮสคูล

“เราไม่ได้ต้องการให้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มาก ปีนึงจะเปิดสอนไม่เกินชั้นละ 2-3 ห้อง และเน้นว่าไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน สามารถออกไปเรียนข้างนอกได้เลย เพราะเราสร้างสนามเด็กเล่น สร้างบ้านต้นไม้ สร้างสนามบอลหรือแม้แต่สระว่ายน้ำก็มีปืนฉีดน้ำด้วย ทุกอย่างมันเชื่อมกันหมด คือเราอยากให้อยู่ในห้องเรียนให้น้อยที่สุด ด้วยความตั้งใจให้ D-PREP เป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้มากกว่า หรืออย่างห้องเรียนของเราก็เรียกว่าเป็น learning space”

ไม่เพียงเท่านั้น เด็ก ๆ ทุกคนจะได้ออกไปสัมผัสอาชีพต่าง ๆ ในสถานที่จริง โดยนักเรียนเกรด 9 เป็นต้นไปจะได้ฝึกงานกับกลุ่มผู้ปกครองที่มีหลากหลายอาชีพ เช่น หมอ, แฟชั่นดีไซเนอร์, วิศวกร เป็นต้น อาจเป็นครึ่งวันของทุกวันศุกร์สัปดาห์ก่อนเข้าเรียน แล้วมาบรีฟให้ครูฟังว่าไปเจออะไรมาบ้าง ซึ่งจะมีการพูดคุยกับเด็กก่อนว่ามีอาชีพใดบ้างที่พวกเขาสนใจ หรืออยากเรียนต่อคณะใด แล้วโรงเรียนจะให้เขาไปฝึกงานเทอมละอาชีพ ก่อนที่จะต้องสมัครเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกเส้นทางชีวิตนั้นไม่พลาด

นอกจากนี้ ยังมีอีกแผนงานที่วางไว้คือ จะเปิด weekend school ในเดือน ก.ย.นี้ สำหรับผู้ปกครองที่ไม่ได้ส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ก็สามารถส่งลูกมาเรียนกับ D-PREP ในวันเสาร์-อาทิตย์ได้ ซึ่งหลักสูตรจะเรียนเหมือนกับหลักสูตรปกติ แต่สเกลลดลงเหมือนนำหลักสูตรเต็มวันมาย่อเหลือเพียง 6 ชั่วโมง

“เด็กที่เรียนหลักสูตร 2 ภาษาอาจไม่มีโอกาสได้พูดภาษาอังกฤษเยอะที่โรงเรียน หากมาเรียนเสริมกับเราก็จะทำให้สำเนียงดีขึ้น โดยจะให้ผู้ปกครองลงทะเบียนให้ลูกเป็นรายปี เพราะหากลงเป็นคอร์สที่มีระยะเวลาเรียนไม่นาน ก็จะไม่เห็นผล โดยคอร์สของเราเรียน 50 กว่าครั้ง ครั้งละ 6 ชั่วโมง ค่าเรียนชั่วโมงละ 200-300 บาท หากคิดเป็นรายปีของเด็กเล็กอยู่ที่ 60,000 บาท เด็กโตประมาณ90,000 บาท”

“พัชรลักขณ์” เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของ D-PREP ว่าไม่ได้ต้องการให้การเข้ามหาวิทยาลัยดังเป็นเป้าหมายหลักของเด็ก แต่ต้องการให้เด็กค้นหาเป้าหมายตัวเองให้เจอว่าเกิดมาเพื่ออะไร และกล้าที่จะทำสิ่งนั้น

“หากเด็ก ๆ สามารถเจอเป้าหมายแล้วเดินตามเส้นทางนั้น ก็ถือว่าโรงเรียนของเราประสบความสำเร็จแล้ว”