ปลัด ศธ. สานต่อแก้หนี้ครู ชู 7 เรื่องด่วน เร่งขับเคลื่อนแก้ปัญหาทั้งระบบ

หนี้ครู

สุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ. นั่งประธานแก้หนี้สินครู ชู 7 เรื่องด่วนต้องเร่งขับเคลื่อน หวังแก้ปัญหาทั้งระบบ

วันที่ 15 มิถุนายน 2565 นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสุทธิชัย จรูญเนตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ว่าได้ลาออกจากตำแหน่ง ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้ตนในฐานะปลัด ศธ. ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการฯ เพื่อสานต่อการขับเคลื่อนงานให้เกิดความต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าปัญหาหนี้สินครู คนส่วนใหญ่มักด่วนสรุปว่าต้นตอของปัญหา อยู่ที่ตัวของครูที่ขาดวินัย ทางการเงิน ซึ่งก็อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงส่วนเดียว ในทางกลับกันเจ้าหนี้ของครูที่ให้สินเชื่ออย่างไม่เป็นธรรม คิดดอกเบี้ยเงินกู้แพงกว่าการเป็นสินเชื่อสวัสดิการ ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ครูต้องตกอยู่ในวังวน ของปัญหาหนี้สิน

สุภัทร จำปาทอง
สุภัทร จำปาทอง

นอกจากนี้ ศธ.ในฐานะนายจ้างของครู เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะทำหน้าที่ตัดเงินเดือนนำส่งให้เจ้าหนี้ โดยไม่ได้ดูว่าครูมีเงินเดือนหลังจากหักจ่ายชาระหนี้แล้ว (Residual Income) เพียงพอในการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรีหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นต้นตอที่ทำให้ครูต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ เมื่อขาดสภาพคล่อง

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบให้เกิดประสิทธิผล จึงจำเป็นที่จะต้องมองในภาพรวมทั้ง 3 ส่วน ทั้งในส่วนของตัวครู ส่วนของเจ้าหนี้ครู และส่วนของนายจ้างหรือ ศธ. ซึ่งจะเป็นสื่อกลางให้สองส่วนแรก โดยจะมีเรื่องสำคัญที่ ศธ. จำเป็นต้องขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว 7 เรื่อง ได้แก่

1.การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้สมกับเป็นสินเชื่อสวัสดิการ ตัดเงินเดือนของข้าราชการ

2.การทำให้ครูมีเงินเหลือใช้หลังจากชาระหนี้ ไม่น้อยกว่า 30% หรือไม่น้อยกว่าเดือนละ 9,000 บาท

3.การคุมยอดหนี้ที่ครูจะสามารถกู้ได้ ไม่ให้เกินศักยภาพที่จะชำระคืนได้ด้วยเงินเดือน โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเป็นผู้ดูแลหน่วยตัดเงินเดือนครู จะเป็นจุดศูนย์กลางประสานช่วยครูแก้ไขหนี้สินก้อนต่าง ๆ

4.การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้เจ้าหนี้ทุกรายสามารถแบ่งเงินเดือน 70% ได้อย่างเพียงพอ โดยนายจ้างหรือ ศธ. จะเข้ามาเป็นคนกลางที่จะช่วยเจรจา เพราะมีอานาจต่อรอง

5.การประกาศกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตัดเงินเดือน ซึ่งกำลังเร่งหาแนวทางการ กำหนดลำดับการตัดชาระหนี้ ให้มีการตัดเงินต้นก่อน เพื่อลดโอกาสที่ครูจะเป็นหนี้ไปจนตาย และกำหนด ลำดับการตัดชาระหนี้ เช่น ให้หักสวัสดิการ ช.พ.ค. และ ช.พ.ส. ในลำดับแรก ในกลุ่มเดียวกับการหักให้ สหกรณ์ฯ

6.การแก้ปัญหากรณีครูผู้กู้และผู้ค้าประกันถูกฟ้องร้องดำเนินคดี โดย ศธ.จะเป็นตัวแทนครูขอให้ศาลช่วย ความเป็นธรรมในการไกล่เกลี่ยคดีที่ครูถูกฟ้อง

7.การช่วยครูแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ

นายสุภัทรกล่าวต่อว่าปัจจุบัน ศธ.จัดตั้งสถานีแก้หนี้ครูทั่วประเทศแล้ว 558 สถานี คือ ระดับจังหวัด 77 แห่ง ระดับเขตพื้นที่การศึกษา 245 แห่ง และระดับส่วนกลาง เช่น สป./กศน./ก.ค.ศ./สอศ. 236 แห่ง เพื่อให้ สามารถรองรับครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ลงทะเบียนขอรับการช่วยเหลือแก้หนี้ จำนวน 41,128 คนได้อย่างครอบคลุม โดยขณะนี้สถานีแก้หนี้ทุกแห่ง กำลังวิเคราะห์ข้อมูล และติดต่อขอข้อมูลจากผู้ลงทะเบียน เพื่อรวบรวม วิเคราะห์ จัดทำข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้สินครู

“ศธ.จะประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของสถานีแก้หนี้ครู แนวทางการแก้หนี้ครูของสหกรณ์ออมทรัพย์ ครูต้นแบบทุกจังหวัด รวมทั้งแนวทางปฏิบัติที่สำคัญให้เพื่อนครูได้รับทราบเป็นระยะ ให้เชื่อมั่นว่าแนวทางดำเนินงานแก้หนี้สินครูทั้งระบบเกิดขึ้นได้จริง เพื่อให้หนี้สินของครูทั่วประเทศที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 4 แสนคน และที่เกษียณอายุราชการแล้วอีก 5 แสนคน รวม 9 แสนคน รวมยอดหนี้สวัสดิการหักเงินเดือน ข้าราชการ 1.4 ล้านล้านบาท

แบ่งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 108 แห่ง ยอดหนี้ 9 แสนล้าน และสถาบันการเงิน 3 แห่ง ธนาคารออมสิน/อาคารสงเคราะห์/กรุงไทย ยอดหนี้ 5 แสนล้านบาท ได้รับการแก้ไขตามแนวทางดังกล่าว โดยมีหนี้เสียหรือเป็น NPLs ไม่เกิน 1-2% เท่านั้น” ปลัด ศธ.กล่าว