EIC คาด กนง. ขึ้นดอกเบี้ย สกัดเงินเฟ้อค้างนาน ดันดอกเบี้ยสิ้นปีสู่ระดับ 1.25%

EIC ไทยพาณิชย์ คาด กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้ง แบบค่อยเป็นค่อยไป สกัดเงินเฟ้อค้างนาน ประเมินขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี คาดทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปีอยู่ที่ระดับ 1.25%

วันที่ 10 สิงหาคม 2565 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า EIC คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับขึ้นจะยังเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ ณ สิ้นปี 2022 (พ.ศ. 2565) จะอยู่ที่ระดับ 1.25% โดย กนง. มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งละ 0.25% ในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้ในเดือนกันยายน และพฤศจิกายน 2022

เนื่องจาก 1.อัตราเงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ในระยะต่อไปเงินเฟ้อจะไม่ปรับลดลงเร็วนัก โดยตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2022 อยู่ที่ 7.61% ปรับลดลงจากเดือนก่อนที่ 7.66% และต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 8% อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะไม่ปรับลดลงเร็วนัก เพราะถึงแม้ราคาน้ำมันโลกจะเริ่มลดลงแล้ว แต่ราคาน้ำมันในประเทศอาจไม่ลดลงเร็วนักโดยเฉพาะราคาขายปลีกดีเซล เนื่องจากกองทุนน้ำมันยังขาดดุลอยู่มาก ทำให้อาจต้องมีการจัดเก็บส่วนแบ่งเพื่อชดเชยการขาดทุน

อีกทั้ง ค่าไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนหลังของปีจะปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศ และแรงกดดันจากฝั่งอุปสงค์ (Demand-pull inflation) ที่จะมีมากขึ้นในช่วงปลายปี จึงทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อไทยแม้จะชะลอลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง

2.เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยล่าสุด EIC ได้ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาไทยในปีนี้ขึ้น จาก 7.4 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน ขณะที่การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศก็มีแนวโน้มดีขึ้นตามการเปิดเมืองและการเปิดประเทศ รวมถึงภาคการเกษตรยังได้รับอานิสงส์จากทั้งปัจจัยทางด้านปริมาณจากน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่ดี และด้านราคาจากความต้องการในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง (ยกเว้นข้าว)

อีกทั้งยังมีแรงส่งจากอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) ทำให้การบริโภคภาคเอกชนจะดีขึ้น นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (purchasing managers index : PMI) เดือนล่าสุดก็สะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดย PMI manufacturing เดือนกรกฎาคมปรับสูงขึ้นมาสู่ระดับ 52.4 ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกือบที่สุดนับตั้งแต่มีการสำรวจ

3.ธปท.จะใช้มาตรการทางการเงินอื่น ๆ ในการเข้ามาดูแลครัวเรือนและธุรกิจกลุ่มเปราะบาง ที่อาจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจะทำให้ครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยมีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มรายได้ปานกลางอาจฟื้นตัวไม่ทันเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจหลายภาคส่วนที่การฟื้นตัวยังคงเปราะบาง เช่น การบิน รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์

ทั้งนี้ EIC มองว่า ธปท. จะเลือกใช้มาตรการทางการเงินอื่น ๆ เพื่อเข้ามาดูแลกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ เช่น การคงการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำที่ 5% การคงการขยายระยะเวลาชำระหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล ไปจนถึงปี 2023 และการปรับปรุงโปรแกรมการจ่ายหนี้ของคลินิกแก้หนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกการผ่อนชำระมากขึ้น

อย่างไรก็ดี EIC ประเมินว่า แม้การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการปรับขึ้นจะเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 0.25% เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ของไทยยังไม่แข็งแกร่งเท่าในประเทศอื่นที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ประเทศเหล่านั้นสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เร็วกว่าไทย สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังไม่เร่งสูงมากเหมือนประเทศอื่นในภูมิภาค และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต

นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกก็มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น (Headwind) จากโอกาสในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่มากขึ้นในเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐ ยุโรป และอังกฤษ ซึ่งจะกดดันอุปสงค์โลก และอาจมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่สูงขึ้น

ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินจำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น และจำเป็นต้องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อีกประเด็นที่จะทำให้ กนง.ไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว คือการที่เงินบาทกลับมาแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา โดยได้แข็งค่าสู่ระดับ 35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2022 นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่ช้าลง ส่งผลให้สินทรัพย์ทั่วโลกปรับสูงขึ้น

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง จึงทำให้เงินบาทรวมถึงค่าเงินสกุลอื่นปรับแข็งค่าขึ้น โดย EIC คาดว่าค่าเงินบาท
ในระยะต่อไปมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อย จากปัจจัยดังนี้

1.ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่น้อยลงในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ (รูปที่ 3) ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกต่อเนื่อง ทำให้แรงกดดันด้านอ่อนค่าของเงินบาทปรับลดลงด้วย

2.มุมมองต่อการลงทุน (Sentiment) ของนักลงทุนเริ่มปรับดีขึ้น หลังภาวะการเงินโลกมีแนวโน้มตึงตัวน้อยลง ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดการเงินไทยมากขึ้น

3.แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและดุลบัญชีเดินสะพัด ที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศตามการเปิดเมือง รวมถึงราคาน้ำมันและค่าขนส่งที่ปรับลดลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวกและช่วยกระตุ้นเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติ


ด้วยเงินบาทที่มีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความจำเป็นในการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลค่าเงินบาทปรับลดลง โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินเฟ้อฝังลึก (Wage-price sprital) ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงจนยากต่อการควบคุม อีกทั้งการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยชะลอการเร่งตัวของราคาในฝั่งอุปสงค์ (Demand-pull inflation) ที่คาดว่าจะปรับสูงขึ้นในช่วงปลายปี