ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตลท.ย้ำชัดไม่กระทบตลาดหุ้น นลท.สนกำไร

ภากร ปีตธวัชชัย

“ภากร” ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย ย้ำชัด “ประยุทธ์” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่กระทบตลาดหุ้น นักลงทุนส่วนใหญ่โฟกัสศักยภาพการทำกำไร บจ.-ผลตอบแทนหุ้นมากกว่า ชี้ฟันด์โฟลว์ขนาดใหญ่ทะลักในรอบ 3 ปี หนุนเชื่อมั่น

วันที่ 24 สิงหาคม 2565 จากกรณีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 มีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งคาดใช้ระยะเวลา 1 เดือน หรือภายในเดือน ก.ย.นี้ โดยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวนั้น

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ประเมินภาพการเมืองจะไม่กระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาก เพราะภาคเรียลเซ็กเตอร์กับภาพการเมืองไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันมาก จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยและการทำธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนไทยค่อนข้างมีความสามารถในการทำกำไร จึงอยากย้ำว่าเรื่องการเมืองกับเรื่องเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรขอให้พิจารณาแยกกัน และต้องแยกเป็นรายอุตสาหกรรมด้วย

โดยมุมมองของนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่จะพิจารณาลงทุนจากศักยภาพการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และผลตอนแทนของหุ้นไทย รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยมากกว่า แต่ขอให้นโยบายภาครัฐมีความต่อเนื่อง ทั้งนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายการลงทุน

ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีแรกในรอบ 3 ปี ที่กระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ขนาดใหญ่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1.8 แสนล้านบาท และยิ่งไปกว่านั้นภายในเดือน ก.ค.เพียงเดือนเดียว มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาสูงกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยฟันด์โฟลว์ดังกล่าวยังไม่มีภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ

ดังนั้นถ้าไทยแก้ปัญหาโควิดได้และเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ มีการเปิดประเทศมากขึ้น น่าจะได้ผลบวกและเป็น Upside Gain ของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจมากขึ้น

“เศรษฐกิจและเรียลเซ็กเตอร์ของประเทศไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การเมืองในประเทศรูปแบบไหนในช่วงระยะเวลากว่า 20-30 ปี ซึ่งนักลงทุนไม่ได้กังวลต่อปัญหาทางการเมืองในประเทศแต่อย่างใด โดยบริษัทจดทะเบียนไทยขณะนี้มีการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ และโตขึ้นมาเป็น regional company และ global company โดยบริษัทจดทะเบียนไทยมีรายได้จากต่างประเทศเกือบ 30% และสำหรับบริษัทที่มีธุรกิจอยู่ต่างประเทศมีรายได้จากต่างประเทศเกือบ 50%”