
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ หรือ SCBX กางยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปี’65-69) ปักหมุด 3 ธีมหลักขับเคลื่อนองค์กร เน้น “ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-ขยายธุรกิจสู่ตลาดภูมิภาค-ดันธุรกิจ IPO สร้างยูนิคอร์น” พร้อมดึงเทคโนโลยีหนุนคนตัวเล็กเข้าถึงบริการเงิน-ต้นทุนต่ำ เดินหน้าสนับสนุนลูกค้ารายกลางและเล็กปรับตัวสู่ความยั่งยืน
วันที่ 4 ตุลาคม 2565 นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “Thailand Economic Outlook 2023” ภายใต้หัวข้อ “ซีอีโอ Big Corp สู่ธุรกิจแห่งอนาคต” ว่า
- MOTOR EXPO 2023 ยอดขายรถ 4 วันแรกทะลุ 8,300 คัน
- เช็กเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เงินเข้าบัญชีวันนี้ 38 จังหวัด
- สพฐ.ประกาศหยุดเรียน 4-8 ธ.ค.ให้นักเรียน ม.ปลายเตรียมสอบ TGAT/TPAT
นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันที่มีการจัดตั้งกลุ่ม SCBX จากข้อมูล ข้อสังเกต และมีการวิเคราะห์จากสิ่งที่ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ จึงมีความมั่นใจว่าระบบธุรกิจธนาคารและระบบการเงินทั้งหมดจะถูก Disruption และจะถูก Disruption ไปเรื่อย ๆ ภายใต้รูปแบบของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่รู้ว่าปลายทางของเทคโนโลยีอยู่ที่ไหน แต่เกิดขึ้นแน่นอน
“ผมเป็นซีอีโอมา 6 ปี โดยประสบความล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงให้ธนาคารเป็นอะไรไม่รู้ ซึ่งก็ไม่ว่าจะเป็นอะไร และหลังจากทดลองทำไปแล้ว จะต้องสร้างรูปแบบใหม่จึงเป็นรูปแบบการจัดตั้งกลุ่มธุรกิจเอสซีบี เอกซ์ และหลังจากจัดตั้ง สิ่งที่เรามอง คือ ทำให้ระบบของธนาคาร Wealth management เรื่องของประกัน เป็นธุรกิจที่เดินต่อไป เราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เราปล่อยให้เขาเดินไป และทำให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะเป็น”
และหากมองไปข้างหน้าอะไรคือเป้าหมาย ซึ่งสิ่งที่มอง Global Pain point จะมีสิ่งที่เป็นธีมใหญ่ และเราในฐานะที่มาจากรากเรื่องของไฟแนนเชียลจะมาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร โดยมี 3 เรื่องใหญ่ คือ
1.Income Inequality 2.Disruptive Technologies และ 3.Environmental Concerns โดยใน 3 ธีมนี้ใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ และวางแผนในการสร้างธุรกิจจากขีดความสามารถของเทคโนโลยีในหลากหลายสาขาที่ SCBX ในฐานะ Financial Technology ตาม Mission ใหม่ของบริษัท ดังนั้น หลังจากนี้ไปสิ่งที่ SCBX จะทำที่ Beyond จากสิ่งที่เคยทำมาจะประกอบด้วย 3 ธีมนี้
ธีมแรก คือ Income Inequality จะเปลี่ยนตัวเองมาเป็น Financial Inclusion สิ่งที่ตั้งใจจะทำจะเป็นการสร้างธนาคารไม่มีสาขา (Virtual Bank) Digital Bank และ Consumer finance ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อมาสร้างต้นทุนให้ต่ำลง และความสามารถให้คนที่มีรายได้ต่ำ หรือเข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน (Unbank) สามารถเข้าถึงเรื่องของการเงิน โดยการปรับเปลี่ยนหรือการลดภาระการเข้าถึงการเงิน
ธีมสอง คือ Disruptive Technologies มองว่า สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) บล็อกเชน อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่ SCBX อยากจะทำนั้น คืออะไร มองว่าเห็นขณะนี้การเกิดขึ้นของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาพัฒนาเป็นโมเดลธุรกิจ ซึ่งจะแบ่งได้ 2 ส่วน คือ Evolution และ Disruption
ซึ่ง Evolution เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่คนกลับไปให้ความสนใจในเรื่องของการเก็งกำไร สิ่งที่จะเกิดขึ้น จะเป็นเรื่องของ Capital Market โดย Bank and Banking Market รวมกันเรียกว่า financial Market สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากตัวกลาง แต่การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีบล็อกเชนมาแทนทีตัวกลาง
เพราะฉะนั้นเรามีตลาดทุนที่มีตลาดแรก และตลาดรอง มีนักลงทุน ตั้งแต่ End to End ของตลาดทุน ส่วนตลาดของธนาคารที่มีระบบแบงกิ้ง มีระบบการกู้ยืม มีเงินและมีการรับฝากเงิน ทุกอย่างที่อยู่ในระบบของการเงินทั้งหมด ซึ่งเทคโนโลยีของบล็อกเชนสามารถที่จะสร้างองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานได้ทุกอย่าง เพื่อมา Replace ระบบเดิม เพราะระบบใหม่มีความยืดหยุ่น ตอบสนองคนที่อยู่ใน Ecosystem ได้ดีกว่า
“เรา SCBX เราโฟกัสบน Evolution ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อในเรื่องของ Disruption ทั้งเรื่อง web 3.0 Defi หรือ Metaverse อะไรต่าง ๆ เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ในที่สุดจะเกิดขึ้น และจะเป็นสิ่งที่จะโฟกัสต่อไป”
สำหรับในเรื่องของ Global Climate Change หรือ Global Warning ในส่วนของ SCBX ยังคงเกาะติดกับไฟแนนเชียล และยังต้องดูแลผู้ประกอบการ ซึ่งโลกกำลังจะลดก๊าซเรือนกระจกลง และเป็นเรื่องที่ต้องทำทุกคน
โดยมองเรื่องนี้มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่ยิ่งใหญ่กลุ่ม SCBX มอง ซึ่งใน Value Chain และ Supply Chain ที่บริษัทขนาดใหญ่จะต้องติดลงเรื่อง Net Zero และกำลังจะลดก๊าซเรือนกระจก จะสร้างดีมานด์มหาศาลต่อกระบวนการ Value Chain และ Supply Chain ทั้งหมด ที่จะทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กจำเป็นปรับตัวให้ตัวเองปล่อยคาร์บอนลดลง ซึ่งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนถึงปลายจะต้องใช้เทคโนโลยีหรือสตาร์ตอัพขึ้นมา เพื่อให้กระบวนนี้เกิดขึ้นได้ SCBX จึงมั่นใจว่าจะเป็น Total Solution Provider ให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก
โดยแบ่งกลุ่มธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.Cash Cow ทำในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ให้แข็งแรงและทดท้าน และมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด 2.financial Inclusion กลุ่มนี้จะทำในเรื่องของ Consumer finance และ Virtual Bank จะทำอย่างไรที่จะช่วยคนตัวเล็ก และ 3.Technogy Company
และจากทั้งหมด SCBX ได้วางยุทธศาสตร์ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2565-2569 แบ่งเป็น 3 ช่วง โดยเฟสที่ 1 ในช่วง 1-2 ปีนี้ จะเป็นช่วงเวลาในการวางโครงสร้างพื้นฐาน (Foundation Building) ซึ่งลงทุนในเรื่อง Cloud, AI และ Cyber Security มีการจับมือกับพันธมิตรระดับโลกในการสร้าง “Center Excellence”
ซึ่งสนับสนุนธุรกิจในกลุ่ม ปัจจุบันใช้ยุทธศาสตร์ M&A ในการมองหาสาขาใหม่ในเรื่องที่ไม่ใช่แบงกิ้ง เพื่อจะดำเนินการในทั้งกลุ่ม และทำงานร่วมกัน และมีการจัดตั้ง “Innovation Lab” ในต่างประเทศเพื่อมองหาเทคโนโลยีในอนาคต และร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในต่างประเทศเพื่อทำเรื่องของวิจัยและพัฒนา (R&D) ในเรื่องของ AI, Cyber และ Blockchain
เฟสที่ 2 สิ่งที่ลงทุนในช่วงแรกจะสามารถนำมาใช้และผลักดันทุกธรกิจใน Gen 1-2 ซึ่งจะสามารถขยายการเติบโตจากในประเทศไปในภูมิภาคหรือต่างประเทศ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเฟสนี้ และเฟสสุดท้ายในปีที่ 5 ธุรกิจ Consumer finance จะพร้อมในการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ IPO และธุรกิจ Platform จะต้องพร้อมเป็นยูนิคอร์น และสินทรัพย์ดิจิทัล จะมีความพร้อมทุกโครงสร้างพื้นฐานทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง หรือแม้จะเป็นการซื้อขายฝากหลักทรัพย์
“สุดท้ายแม้ว่าเราจะเช็ต Provision แต่เราก็จะ Execution แบบ Prudent และสำหรับองค์กรที่จะทำเรื่องใหม่และอยู่ดี ๆ จะเดินออกไปจากสิ่งที่ตัวเองทำ การ Balance สิ่งที่จะต้องทำ ต้องทดลอง และเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาสผิด และจะต้องทำอย่างเร็วกับการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ
แม้กระทั่งจะต้องเอาผู้เชี่ยวชาญจากข้างนอกมาเพื่อให้กระบวนการการตัดสินใจ Prudent พอ เป็นสิ่งที่สำคัญ และสิ่งที่เราเตรียมพร้อมกำลังจะออกเดินทางใน Chapter ต่อไป ในอดีตเป็นแบงก์เกอร์เราดูว่าการตั้ง budget ปีต่อปีเพิ่มขึ้นเท่าไร สิ่งที่ทำมันยุ่งแต่ไม่ยาก แต่สิ่งกำลังจะทำอยู่มันไม่ค่อยยุ่งแต่มันยาก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ”