ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง SAF ธุรกิจเหล็กกล้า เสนอขาย IPO ไม่เกิน 80 ล้านหุ้น

เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล (SAF) เตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หลังสำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว ชูจุดเด่นผู้นำธุรกิจจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษ ที่ได้รับแต่งตั้งจากบริษัทระดับโลกให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

วันที่ 10 ตุลาคม 2565 นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF กล่าวว่า หลังจาก SAF ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว

โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกิน 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้

ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนโครงการโรงงานและคลังสินค้าแห่งใหม่ ลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ลงทุนเตาชุบแข็งแบบไนไตรดิ้ง เพื่อให้บริการอบชุบได้อย่างครบวงจร และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและดำเนินการอื่น ๆ

ดร.พิศิษฐ์ อริยเดชวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าเกรดพิเศษคุณภาพระดับโลก และมีความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการชุบแข็งสุญญากาศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างอนาคตภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้ก้าวหน้า โดยบริษัทมีเป้าหมายยกระดับความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างรอบด้าน เพื่อรองรับปริมาณความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย

รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมภายในประเทศกลับมาขยายตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัท

ทั้งนี้ SAF มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน จากการได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย จาก “DRRENBERG EDELSTAHL” ผู้นำธุรกิจหลอมและขึ้นรูปเหล็กกล้าเกรดพิเศษจากประเทศเยอรมนี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1860 ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 160 ปี รวมทั้งยังเป็นตัวแทนจำหน่ายของ “WILHELM OBERSTE-BEULMANN” ประเทศเยอรมนี แบรนด์ชั้นนำสำหรับเหล็กกล้าเกรดพิเศษ

ขณะเดียวกัน SAF ยังเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเลื่อยโลหะ โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยของ “RNTGEN” ใบเลื่อยสายพานโลหะชั้นแนวหน้าของโลกจากประเทศเยอรมนี และนำเข้า “CHENLONG” เครื่องเลื่อยสายพานชั้นนำของประเทศจีน มาจำหน่าย

“เรามุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากผู้ผลิตทั่วโลก แก่ลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่จะพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งเหล็กกล้าเกรดพิเศษเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติสูงกว่าเหล็กธรรมดาทั่วไป

จึงสามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตสำหรับงานแม่พิมพ์ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ และชิ้นส่วนเครื่องจักรกลทางวิศวกรรม นอกจากนี้ เมื่อนำมาผ่านกระบวนแปรรูปและกระบวนการชุบแข็งสุญญากาศที่บริษัทมีองค์ความรู้และเทคนิคจากเยอรมนี ก็จะยิ่งเสริมคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ของชิ้นงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามการใช้งานของลูกค้า” ดร.พิศิษฐ์กล่าว

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงปี 2562-2564 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 251.33 ล้านบาท 180.17 ล้านบาท และ 213.84 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 9.05 ล้านบาท 2.45 ล้านบาท และ 15.53 ล้านบาท ตามลำดับ โดยปี 2563 ที่ผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ลูกค้าบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และวัสดุก่อสร้างชะลอการสั่งซื้อสินค้า

อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 สามารถกลับมาเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของปริมาณการจำหน่ายเหล็กกล้าเกรดพิเศษ ตามการเติบโตของลูกค้าในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหลัก เนื่องจากยอดการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนที่สูงขึ้น ประกอบกับลูกค้าในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ รวมทั้งยังได้ปัจจัยบวกจากราคาจำหน่ายเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขายและบริการ 114.72 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.96 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 8.66% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.04 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิ 6.94% เป็นผลมาจากการปรับราคาขายผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นตามราคาเหล็กกล้าในตลาดโลก ประกอบกับความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ดร.พิศิษฐ์กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี ในปี 2566 และ 2567 จากกลยุทธ์ขยายธุรกิจเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการลงทุนโครงการคลังสินค้าแห่งใหม่ เนื่องด้วยลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท การบริหารจัดการสินค้าคงคลังมีความสำคัญอย่างมาก

ดังนั้น การลงทุนคลังสินค้าแห่งใหม่จะทำให้สามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปัจจุบัน SAF มีคลังสินค้าทั้งสิ้น 2 แห่ง จัดเก็บวัตถุดิบได้สูงสุดประมาณ 2,000 ตัน โดยบริษัท มีเป้าหมายจะเพิ่มความจุคลังสินค้าอีกเท่าตัว รวมเป็น 4,000 ตัน ซึ่งจะช่วยหนุนศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตของยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงจะเพิ่มการให้บริการอบชุบจากระบบเตาชุบไนไตรดิ้ง เพื่อตอบสนองลูกค้าได้ดีและครอบคลุมมากขึ้น นอกจากนี้ จะแสวงหาโอกาสขยายธุรกิจสู่ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) อีกด้วย