ก.ล.ต.ไฟเขียว KTMS ขายหุ้นไอพีโอ 76.64 ล้านหุ้น

กระดานหุ้น ตลาดหลักทรัพย์
Photo by Ahmad Ardity on Pixabay

สำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส (KTMS) เสนอขายหุ้นไอพีโอ 76.64 ล้านหุ้น เข้าระดมผ่านตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) พัฒนาสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม-โรงงานผลิตน้ำยาไตเทียมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำหุ้น บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “KTMS” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ชื่อย่อ “KTMS” ว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับ 1 ไฟลิ่งของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 76.64 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.55% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และคาดว่าจะนำเสนอขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ช่วงปลายปีนี้ ในหมวดธุรกิจบริการ (SERVICE) ทั้งนี้ บมจ.เคที เมดิคอล เซอร์วิส ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรายแรก ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ปัจจุบัน “KTMS” มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น เป็นทุนที่ชำระแล้ว 111.68 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 223.36 ล้านหุ้น และมีการดำเนินธุรกิจการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ สำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

รวมทั้งการขายและการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์อย่างครบวงจร ด้วยคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล ภายใต้การให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ในรูปแบบคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางไตเทียม (คลินิก หรือ Stand-Alone) และหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาล (หน่วยไตเทียม หรือ Outsource) ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลรัฐ และกลุ่มลูกค้าเอกชน

โดยปัจจุบันบริษัทมีเครื่องไตเทียมรวม จำนวน 254 เครื่อง มีหน่วยไตเทียม จำนวน 20 สาขา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งภาคกลางและกรุงเทพมหานคร 2 สาขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 สาขา ภาคเหนือ 4 สาขา ภาคตะวันออก 2 สาขา และภาคตะวันตก 2 สาขา

นางสาวกาญจนา พงศ์พัฒนะเดชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เมดิคอล เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ “KTMS” เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ว่า เพื่อนำเม็ดเงินที่ได้ไปใช้ลงทุนในสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวมถึงโครงการลงทุนในโรงงานผลิตน้ำยาไตเทียม และศูนย์บริการวิศวกรรม และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจการลงทุนอื่น ๆ และยังสะท้อนถึงศักยภาพความแข็งแกร่งด้านการบริการของกลุ่มบริษัทได้อย่างครบวงจรมีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล

กาญจนา-พงศ์พัฒนะเดชา
กาญจนา-พงศ์พัฒนะเดชา

โดย “KTMS” มี 3 บริษัทย่อย ที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จ ประกอบด้วย

1) บริษัท เออร์วิง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“IRV”) ดำเนินธุรกิจประกอบธุรกิจการให้บริการออกแบบ ติดตั้งระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ ระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการบำรุงรักษาระบบ, การผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาไตเทียม, การให้บริการออกแบบ และตกแต่งสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการออกแบบ ประกอบ และจัดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์สำหรับสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

2) บริษัท เมดิคอล วิชั่น จำกัด (“MV”) ให้บริการออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์ท่อลมรับ-ส่ง สิ่งส่งตรวจทางการแพทย์ รวมทั้งบริการดูแลบำรุงรักษาระบบ

3) บริษัท เนโฟร วิชั่น จำกัด (“NEP”) ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมทั้งในรูปแบบคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางไตเทียม และหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาล โดยจะเป็นการร่วมมือกับอายุรแพทย์โรคไตในพื้นที่เป็นหลัก เพื่อทำให้อายุรแพทย์โรคไตรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของร่วม อีกทั้งจะได้รับสิทธิประโยชน์จากนโยบายสนับสนุน SMEs ของภาครัฐ จากการเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ในการประมูลงานโครงการกับภาครัฐ

ด้วยจุดเด่นของ “KTMS” ภายใต้แรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ ที่เกิดจากความหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย “Inspiration From Hope” ส่งผลให้บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการแบบครบวงจร (One-stop Services) และก้าวสู่ผู้นำที่ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพียงไม่กี่รายที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร พร้อมกันนี้กลุ่มบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาลรัฐ

ซึ่งมีการต่อสัญญาการให้บริการมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 5 ปี รวมถึงบริษัทย่อยที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ และระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมมากกว่า 20 ปี จึงทำให้กลุ่มบริษัทฯสามารถให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างมีคุณภาพ เป็นไปตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล

“บริษัทได้รับการสนับสนุนจากโครงการสวัสดิการด้านสุขภาพภาครัฐ อาทิ โครงการสวัสดิการด้านสุขภาพภาครัฐต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนงบฯบริการผู้ป่วยเรื้อรังจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่สนับสนุนให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ที่มีสิทธิทุกรายสามารถร่วมตัดสินใจเลือกวิธีการล้างไต เป็นแบบฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมร่วมกับแพทย์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้มีจำนวนผู้ป่วยใช้บริการกับกลุ่มบริษัทมากยิ่งขึ้น”

ขณะที่นายศุภณัฐ พร้อมศิริพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน “KTMS” กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ “KTMS” ในช่วงปี 2562-2564 และงวด 9 เดือนปี 2565 ทางกลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 182.64 ล้านบาท 212.54 ล้านบาท 310.30 ล้านบาท และ 277.32 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้หลักมาจากการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จากการขยายจำนวนสาขาสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2563 กลุ่มบริษัทมีสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เป็นจำนวน 14 สาขา เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีสาขาอยู่ 7 สาขา และมีเครื่องไตเทียม จำนวน 156 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีอยู่จำนวน 74 เครื่อง ส่วนในปี 2564 กลุ่มบริษัทมีสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จำนวน 18 สาขา เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 4 สาขา และมีเครื่องไตเทียม จำนวน 228 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 72 เครื่อง

ขณะที่งวดเก้าเดือนปี 2565 กลุ่มบริษัทมีสถานพยาบาลฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จำนวน 20 สาขา เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 2 สาขา และมีเครื่องไตเทียม 254 เครื่อง เพิ่มขึ้นจาก ปี 2564 จำนวน 26 เครื่อง ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2562-2564 และงวด 9 เดือนปี 2565 อยู่ที่ 0.56 ล้านบาท, ขาดทุนสุทธิ 26.62 ล้านบาท 16.80 ล้านบาท และ 15.66 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิ 0.29%, ลดลง 12.52%, 5.41% และ 5.65% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้จะส่งผลให้บริษัทมีโอกาสนำเครื่องมือทางการเงินจากแหล่งทุนมาต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตได้

พร้อมทั้ง เชื่อว่าหุ้น “KTMS” จะได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคตที่สดใสและยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการให้บริการเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรายแรกที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลเชิงบวกต่อบริษัทอย่างแน่นอน