เปิดผลประชุม กนง.-กนส. ห่วงคุณภาพลูกหนี้แบงก์รัฐ

กนง.

ธปท.เผยผลประชุม “กนง.-กนส.” ชี้ ระบบการเงินไทยยังมีเสถียรภาพ-ดอกเบี้ยเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับเศรษฐกิจฟื้นตัว ย้ำยังมีความเสี่ยงในระยะข้างหน้า พร้อมเกาะติด 2 ประเด็น “ความสามารถในการชำระหนี้ ห่วงกลุ่มลูกหนี้แบงก์รัฐ-น็อนแบงก์ เฝ้าระวังผลกระทบเสถียรภาพ เหตุความผันผวนราคาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงินและต้นทุนที่สูงขึ้น

วันที่ 9 ธันวาคม 2565 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ในวันที่ 6 ธันวาคม 2565 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

ระบบการเงินโลกมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้าจาก

(1) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

(2) ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้นมาก จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็ว แรง และพร้อมเพรียงกันของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อดูแลเงินเฟ้อ

(3) ความเปราะบางทางการเงินที่สูงขึ้นจากหนี้ของทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นมาก

(4) ราคาสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูง

และ (5) ระบบการเงินโลกที่ซับซ้อนขึ้นจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่มิใช่สถาบันการเงิน (non-bank)

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ทำให้อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในตลาดการเงินที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้ จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

สำหรับเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจ ระดับการก่อหนี้ของภาครัฐบาล ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และธุรกิจเอกชน ทั้งจากแหล่งในประเทศและต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

ที่ประชุมประเมินว่า ระบบการเงินไทยในปัจจุบันยังมีเสถียรภาพโดย ธพ. ที่มีเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรองรับความต้องการสินเชื่อในระยะถัดไปได้ ธุรกิจประกันภัยมีฐานะการเงินมั่นคง โดยผลกระทบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยจากสถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลายลง ขณะที่ตลาดการเงินยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแม้ความผันผวนปรับสูงขึ้นตามทิศทางตลาดการเงินโลก

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินโลกที่ปรับสูงขึ้น สถานการณ์ในตลาดการเงินต่างประเทศอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยได้ ที่ประชุมจึงประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้นต่อภาคส่วนต่าง ๆ ภายใต้ stress scenario อย่างระมัดระวังและรอบด้าน โดยให้ความสำคัญกับการติดตามดูแลความเสี่ยงที่มีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยใน 2 ประเด็นหลัก ดังนี้

1.ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและ SMEs บางกลุ่มอาจด้อยลง หากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยและกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ภาคครัวเรือนไทยยังมีความเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่ SMEs ยังมีความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เช่น ภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมถึงบางธุรกิจที่อ่อนไหวต่อต้นทุนที่สูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เช่น การขนส่งสินค้า การค้า และวัสดุก่อสร้าง

โดยที่ผ่านมา ธปท. ได้มีมาตรการดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาว คลินิกแก้หนี้ และมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ ซึ่งช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้ระดับหนึ่ง แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องเร่งผลักดันมาตรการแก้หนี้ในลักษณะเฉพาะจุดให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ต้องติดตามคุณภาพอย่างใกล้ชิดของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐและ non-bank

2.ความผันผวนของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดการเงินและต้นทุนการระดมทุนของภาคธุรกิจที่อาจปรับสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ภาวะการเงินโลกที่ตึงตัว และสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ลดลง จนอาจกระทบผลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน กองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทประกันภัย รวมทั้งเสถียรภาพระบบการเงินได้

ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีหลักเกณฑ์ในการดูแลความเสี่ยงของกองทุนรวมและตลาดตราสารหนี้ อาทิ การกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนมีเครื่องมือสำหรับการบริหารและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพ และการกำหนดลักษณะและประเภทของผู้ลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่ลงทุนได้ (investor segmentation)

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีเกณฑ์คำนวณเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการขาดอายุกรมธรรม์ประกันชีวิตภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่ายังมีความจำเป็นที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องร่วมกันติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมความพร้อมในการดูแลให้ตลาดการเงินมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะทำหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินได้ตามปกติแม้ในกรณีที่เกิดภาวะวิกฤติ


ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้ ภาคเอกชนควรให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากการระดมทุนระยะสั้นที่กระจุกตัว ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ รวมถึงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและสภาพคล่องในการระดมทุนจากต่างประเทศ ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ธปท. ก.ล.ต. และ คปภ. จะร่วมกันติดตามและประเมินปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ในระบบการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยให้ได้ทันการณ์