จับตากองทุนหุ้นอินเดีย ผลตอบแทนติดลบน้อยสุด-เงินเฟ้อต่ำ

หุ้นอินเดีย

ปีนี้สถานการณ์การลงทุนในกองทุนรวมที่ไปลงในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาจจะไม่ค่อยสดใสนัก เพราะส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ติดลบ อย่างไรก็ดี มีประเทศที่โดดเด่นขึ้นมาในปีนี้ก็คือ อินเดีย ที่กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง 
ปัจจุบันขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 ของโลก แซงหน้าสหราชอาณาจักร (UK) ที่กำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่

ขณะเดียวกันอินเดียยังไม่มีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ทำให้ไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ย จึงนับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว

โดย “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเทศอินเดียมีการเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส 2 ปี 2565 ถึง 13.5% และไตรมาส 3 ที่ผ่านมาโต 6.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว (YOY) ส่งผลให้อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 แทนที่สหราชอาณาจักร

“อินเดียมีการบริโภคในประเทศที่สูงขึ้น และภาครัฐมีการเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี ประกอบกับศักยภาพทางด้านจำนวนประชากรของชาวอินเดีย ส่งผลทำให้ภาพในอนาคตของอินเดียมีโอกาสที่จะเติบโตได้สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ” ชญานีกล่าว

ทั้งนี้ กองทุนหุ้นอินเดียมีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) อยู่ที่ -10.3% (ข้อมูล ณ 9 ธ.ค. 2565) ถือว่าติดลบน้อยกว่ากองทุนหุ้นอื่น ๆ โดยมูลค่าการลงทุนในรอบ 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ของปีนี้ มีเงินไหลออกสะสม 385 ล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 7,500 ล้านบาท ลดลง 12.9% จากสิ้นปี 2564

ซึ่งกองทุนที่มีผลตอบแทน YTD ติดลบน้อยที่สุดสะสม นำโดยกองทุน TISCOIN จากบริษัทหลักทรัพย์ (บลจ.) ทิสโก้ ให้ผลตอบแทน YTD อยู่ที่ -2.64% ตามด้วยกองทุน KF-INDIA และกองทุน KFINDIARMF จาก บลจ.กรุงศรี ผลตอบแทนอยู่ที่ -4.95% และ -5.32% ตามลำดับ รวมถึงกองทุน KT-INDIA-A และกองทุน KT-INDIA-D จาก บลจ.กรุงไทย ผลตอบแทนอยู่ที่ -5.51% และ -5.52% (ดูตาราง)

ขณะที่ “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า อินเดียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยขาขึ้นค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น และไม่ได้มีปัญหาการเมืองแบบประเทศจีน หรือฝั่งยุโรปที่มีปัญหาเรื่องพลังงาน

ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่มีปัจจัยลบน้อยที่สุด ส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียโดยรวมยังคงเติบโตในอัตราที่ค่อนข้างดีเกิน 5% ขึ้นไป เพราะอินเดียพึ่งพาการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก

“ตัวตลาดหุ้นอินเดียเองก็ยังมี EPS growth ที่ค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนเองมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในอินเดียค่อนข้างดี แต่อินเดียมีข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ P/E ratio ที่สูงถึง 22 เท่า ถือว่าค่อนข้างแพง เทียบกับตลาดหุ้นไทยหรือตลาดหุ้นสหรัฐที่ P/E ratio อยู่ที่ 14-15 เท่า

อย่างไรก็ดี โดยรวมมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่น่าสนใจ เนื่องจากปีนี้หลายประเทศเจอปัญหาหนัก โดยเฉพาะเรื่องของเงินเฟ้อสูงและดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่อินเดียยังคงมีการเติบโตที่ดีอยู่ เพียงแต่ว่าอัพไซด์ อาจจะไม่ได้มีเยอะมาก” สาห์รัชกล่าว

ด้าน “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด กล่าวว่า อินเดียเป็นประเทศที่เติบโตด้วยการส่งออกและมีการลงทุนโครงสร้างมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19

ซึ่งปีนี้เงินดอลลาร์สหรัฐ
แข็งค่าหนัก ส่งผลให้สกุลเงินรูปีอ่อนค่าลง แต่การอ่อนค่าของรูปี ก็จะเห็นว่าอินเดียไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม โดยดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 6% ขณะที่เงินเฟ้อยังไม่ได้เกินกรอบเป้าหมาย อินเดียจึงไม่จำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว

“อินเดียมีการเติบโตหลักมาจากการส่งออก จึงได้ประโยชน์จากการที่รูปีอ่อนค่าและสะท้อนมาที่ GDP ที่เติบโต ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 6-7% ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคและในกลุ่ม G20” ชยนนท์กล่าว

โดยดัชนีตลาดหุ้น Sensex ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ก็กลับมาเป็นบวก ซึ่งน่าจะเป็นตลาดหุ้นเดียวในฝั่งเอเชียที่ยังบวกและมีผลตอบแทนดีที่สุด แต่การลงทุนในอินเดีย ด้วยปัจจุบัน P/E ratio ของอินเดียอยู่ที่ประมาณ 22 เท่า นับว่าแพงสุดในภูมิภาค สำหรับคนที่จะทยอยเข้าลงทุนอาจจะต้องพิจารณาให้ดีก่อนลงทุน แต่ใครที่ลงทุนอยู่แล้ว ก็สามารถถือต่อไปได้

“การลงทุนในอินเดียน่าสนใจ แต่ไม่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวมากนัก เนื่องจาก P/E ratio ที่ 22 เท่า ถือว่าสูงมาก น่าจะไม่ได้มีอัพไซด์เยอะ เว้นแต่ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความท้าทายก็คือว่า อินเดียพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก หากประเทศฝั่งยุโรปหรือสหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อินเดียก็อาจจะส่งออกได้น้อยลง การเติบโตปีหน้าก็อาจไม่ดีเท่าปีนี้” ชยนนท์กล่าว

จากภาพทั้งหมดนี้ กองทุนหุ้นอินเดีย เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับการที่นักลงทุนจะสามารถกระจายพอร์ตเข้าลงทุนได้