ปี 2565 เป็นปีที่ราคาทองคำค่อนข้างผันผวน และมีทิศทาง “ย่อตัว” ลงมา หลังจากทำสถิติพุ่งขึ้นไปเกินกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในช่วงแรกของวิกฤตโควิด-19
สำหรับแนวโน้มราคาทองในปี 2566 จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐมีความเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ทายาทรุ่นที่ 3 ผู้ค้าทองคำครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย
ปี’66 ราคาทองคำกลับสู่ขาขึ้น
“ธนรัชต์” กล่าวว่า ฮั่วเซ่งเฮง มองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีสำหรับทองคำ หลังจากปีนี้ทองคำเผชิญปัจจัยลบมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจประเทศอินเดียและจีนที่จะขยายตัวได้ดีขึ้น ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่มีสัดส่วนการซื้อทองคำมากที่สุด รวมกันอยู่ที่ประมาณ 50% ของทั้งโลก โดยเศรษฐกิจอินเดียปีนี้เติบโต 7% ดังนั้นคาดว่าความต้องการซื้อ (ดีมานด์) จากอินเดียไม่น่าจะตกลง
ส่วนจีน แม้ว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะโตเพียง 3-5% ซึ่งก็พอไปได้ ประกอบกับแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ที่จะมีมากขึ้น รวมถึงการที่จีนพยายามปรับนโยบายในเรื่องเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของประเทศ ดังนั้นปีหน้าก็น่าจะได้เห็นแรงอัดฉีดที่จะช่วยเหลือภาคเอกชน เพื่อให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว จึงคาดว่าจะมีดีมานด์ในฝั่งธุรกิจจิวเวลรี่และฝั่งการลงทุนจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจถดถอย หนุนทองคำ
สำหรับปัจจัยของสหรัฐที่ตลาดกำลังมองว่า ในปีหน้าสหรัฐจะยุติการขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลกระทบในทิศทางไหน ซึ่งก็ต้องดูว่าเงินเฟ้อจะกลับมาอีกหรือไม่ หากสหรัฐคุมเงินเฟ้ออยู่ ก็อาจจะตามมาด้วยเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกโดยตรงกับราคาทองคำ
“ในปีนี้ที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาก ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินทรัพย์อื่น ๆ ก็ราคาลดลง แต่ปีหน้า หากเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า สินทรัพย์ทุกตัวก็น่าจะดีดตัวกลับขึ้นมา รวมถึงทองคำ นอกจากนี้จากสถิติการเกิดเศรษฐกิจถดถอยประมาณ 7 ครั้ง ก็จะเห็นว่า 5 ครั้ง ราคาทองปรับขึ้นสูง ส่วนอีก 2 ครั้งแม้ราคาจะไม่ขึ้นทันที แต่พอผ่านพ้นในเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ดีผ่านไป ก็ดีดกลับขึ้นมา ก็ถือว่ามีปัจจัยที่จะปรับขึ้นได้เยอะ”
ส่วนปัจจัยลบต่อทองคำ “ธนรัชต์” กล่าวว่า คงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจยุโรป โดยหากสหรัฐยังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อต่อเนื่อง ก็อาจจะส่งผลต่อยุโรปในเชิงที่หนักขึ้น หรือถึงแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะผ่านพ้นไปได้ แต่เศรษฐกิจยุโรปก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องพลังงาน ซึ่งกระทบต่อต้นทุน ทำให้เป็นปัจจัยลบ โดยอาจส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลงและส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้
“ปี 2566 ทองคำน่าจะเป็นขาขึ้น เราให้กรอบราคาประมาณ 1,700-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลายคนถามว่าราคาทองคำจะขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้หรือเปล่า ซึ่งต้องบอกว่าทิศทาง 2 ครั้งที่ผ่านมา ที่ขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ขึ้นไปแตะแค่ชั่วคราวแล้วก็ลงทันที เพราะฉะนั้น เราให้กรอบไว้ที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อน แล้วรอดูว่าถ้าสามารถยืนได้ดี ก็อาจมีโอกาสที่จะขึ้นต่ออีก 100 เหรียญ ไปที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นกับเรื่องของเศรษฐกิจและการเมืองโลกด้วย”
สำหรับทิศทางราคาทองคำในประเทศ ฮั่วเซ่งเฮงให้กรอบปีหน้าไว้ที่ 28,000-30,500 บาทต่อบาททองคำ โดยมองว่าหลังจากเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจกลับมาเติบโต ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำในประเทศอาจจะถูกกดดันได้เล็กน้อย
ราคาใกล้ Bottom แนะสะสมลงทุนยาว
“ธนรัชต์” กล่าวอีกว่า เชื่อว่าราคาทองคำในปีหน้า กรอบล่างไม่น่าจะลงไปมากกว่าที่เป็นจุดต่ำเดิมที่ 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จริง ๆ ไม่น่าลงไปถึง 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ด้วย ซึ่งบริเวณ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ถือเป็นโอกาสทยอยเข้าซื้อสะสมระยะยาว อย่างไรก็ดี นักลงทุนเองก็ต้องจับทิศทางลงทุนปีหน้า ว่าตั้งเป้าหมายการลงทุนเป็นอย่างไร อยากจะเก็งกำไรในรอบใหญ่หรือรอบกลาง
“โดยรอบนี้มองว่าราคาใกล้ bottom มากที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเก็บยาวจริง ๆ ถ้าแตะแนวต้านที่ 1,900 ดอลลาร์ เพื่อเทสต์ว่าจะขึ้นไปต่อได้ไหม ดังนั้นเมื่อถึง 1,900 ก็เป็นจังหวะขายสักครึ่งหนึ่งทำกำไร แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็เก็บไว้เป็นต้นทุนที่จะไปต่อ เผื่อมีโอกาสที่จะไปได้ ผมว่าทองคำยังมีโอกาสให้ทำกำไรเข้าออกได้ 10-20 ปีข้างหน้า ดังนั้นน่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสะสมในระยะยาวมากกว่า”
อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก่า สิ่งที่จะแนะนำเหมือนกันคือต้องใช้ความระมัดระวัง แล้วก็ต้องมีการศึกษาข้อมูล ติดตามข่าวสารโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ข่าวสารเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว และก็ปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามาทำให้ราคาเกิดอาการตกใจได้ง่าย
GOLD NOW หนุนธุรกิจโตก้าวกระโดด
ทายาทรุ่นที่ 3 กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์โควิด-19 นับว่าเป็นจุดที่ดีอย่างหนึ่งของผู้ค้าทอง คือเมื่อนักลงทุนไม่สามารถมาทำธุรกรรมที่ร้านได้ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาแอปพลิเคชั่น GOLD NOW ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการลงทุนทอง ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปิดบัญชีได้อย่างสะดวก แบบไม่ต้องมีหลักประกันมาวาง ตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น ทั้งคนรุ่นใหม่และคนสูงอายุ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท
โดยแอปพลิเคชั่น GOLD NOW เปิดบริการตั้งแต่เดือน ต.ค. 2564 และได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง มีนักลงทุนเปิดบัญชีเฉลี่ย 1,000 บัญชีต่อวัน ทำให้ในช่วงโควิดต้องบอกว่าธุรกิจค้าทองของฮั่วเซ่งเฮงยังสามารถเติบโตได้อย่างดี เรียกได้ว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดเลย คาดว่าสิ้นปีนี้ตัวเลขผลประกอบการน่าจะสะท้อนออกมาให้เห็นได้ว่า ฮั่วเซ่งเฮงเติบโตได้ดี จากตัวแอปพลิเคชั่นที่ประสบความสำเร็จ และฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ เป็นลูกค้าชั้นดี ไม่มีหนี้เสีย
“GOLD NOW เป็นแอปที่เราภูมิใจ เพราะจริง ๆ เรามีแอปพลิเคชั่นออกมาก่อนหน้านี้เป็น 10 ปีแล้ว แต่ตัวนี้เป็นตัวใหม่ ซึ่งข้อดีลูกค้าไม่ต้องวางหลักประกัน เพราะเป็นการผูกบัญชีอัตโนมัติกับบัญชีธนาคาร เมื่อส่งคำสั่งซื้อก็สามารถดูได้ว่ามีเงินบัญชีเพียงพอไหม ทำให้ทุกอย่างสะดวก ลูกค้าไม่ต้องแบ่งเงินออกมาเพื่อวางเป็นหลักประกัน”
เทรดออนไลน์เปิดประตูทั่วประเทศ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ที่แปลกไปกว่านั้นคือมีนักลงทุน คนทำงานอยู่ที่บ้านก็เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นผ่านทางแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมทั้งผู้สูงวัยที่เราไม่คิดว่าจะใช้โมบายแอปพลิเคชั่นได้เร็ว ในช่วงโควิดก็ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้เข้าถึงการใช้แอปพลิเคชั่นได้อย่างง่ายดาย ก็ทำให้เป็นฐานลูกค้าที่แข็งแรงขึ้น
นอกจากนี้ในฝั่งของทองรูปพรรณซึ่งถ้าเศรษฐกิจไม่ดี การซื้อขายตรงนี้ก็จะน้อยลง เพราะมองว่าเป็นเรื่องของฟุ่มเฟือย แต่ปีนี้เงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่า ก็ทำให้ราคาทองในประเทศไม่แพงมาก ก็ทำให้ปีนี้พบว่ายอดการซื้อทองรูปพรรณเติบโตขึ้นด้วย
“ปีที่ผ่านมาสำหรับกลุ่มฮั่วเซ่งเฮงถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือเรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ของเราในการเติบโต เพราะจากการนำแอปพลิเคชั่นการเทรดออนไลน์รูปแบบใหม่เข้ามา ทำให้คนสนใจกันค่อนข้างเยอะ แล้วก็สามารถเปิดบัญชีได้ง่าย ทำให้จากเดิมฐานลูกค้าของฮั่วเซ่งเฮงจะอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าลูกค้าของฮั่วเซ่งเฮงมาจากเกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ประกอบกับเรื่องของความผันผวนทางเศรษฐกิจก็ทำให้ยอดเทรดดิ้งเติบโตขึ้นค่อนข้างสูง จึงทำให้เห็นวอลุ่มการเติบโต โดยปีนี้ในช่วง 7 เดือนแรก บริษัทก็ทำยอดขายได้เท่ากับปีที่แล้วทั้งปี” ทายาทรุ่นที่ 3 กล่าว