ปี 2566 ไทยโตท่ามกลางโลกถดถอย ท่องเที่ยว-เลือกตั้ง ดึงดูดตลาดหุ้น

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
ภาพจากเพจ กอบศักดิ์ ภูตระกูล

“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มองเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ท่ามกลางโลกถดถอย แรงหนุนการท่องเที่ยว-ค่าเงินบาท-เลือกตั้ง ดึงดูดฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้น

วันที่ 10 มกราคม 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ประเมินภาพเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกถดถอย คาดจีดีพีไทยจะเติบโตราว 3%

โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลักของประเทศ ประกอบกับคาดว่าทิศทางค่าเงินบาทปีนี้จะไม่อ่อนค่ามากเมื่อเทียบปีก่อน จากทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลงและรายได้จากท่องเที่ยวทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวกได้

ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังคงไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าจะยังเป็นภาพการซื้อสุทธิได้ทั้งปีนี้ จากปีที่ผ่านมาต่างชาติซื้อหุ้นไทย เกือบ 2 แสนล้านบาท และซื้อบอนด์ไทยไปกว่า 1 แสนล้านบาท

โดยมองภาพการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index อ้างอิงคาดการณ์จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ที่ประเมินไว้ว่าในช่วงไตรมาส 1/2566 ดัชนีน่าจะขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,694 จุด ซึ่งถือว่าเป็นระดับใกล้เคียงในปัจจุบันแล้ว และช่วงสิ้นปี 2566 จะขึ้นไปสู่ระดับ 1,740 จุด เพราะประเทศจีนมีนโยบายการเปิดเมืองที่เร็วกว่าที่คาดไว้

ทั้งนี้แม้ตอนนี้ประเทศจีนกำลังมีการระบาดโควิดรุนแรง แต่จะไม่ปิดเมืองสู้การระบาดอีกต่อไป โดยเลือกเดินตามรอยอินเดียช่วง 2 ปีก่อน นั่นคือปล่อยให้มีการระบาด ขณะที่เริ่มปรากฎข่าวหนุ่มสาวชาวจีนที่ยังไม่ติดเชื้อพยายามเร่งให้ตัวเองติดเชื้อเพื่อรักษาตัว 14 วัน เพื่อสร้างภูมิธรรมชาติให้หายทันก่อนเที่ยวตรุษจีน ทำให้อัตราการติดเชื้อของเมืองจีนจะสูงขึ้นมากในช่วง 3-4 เดือนนี้

จากนั้นในไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป คนจีนส่วนใหญ่จะมีภูมิธรรมชาติ หนุนให้ภาคท่องเที่ยวจะคึกคักเป็นพิเศษจากการมาเยือนของนักท่องเที่ยวจีน ที่ไม่มีปัญหาโควิดอีกต่อไป

และเมื่อจีนจัดการปัญหาโควิดจบลง เรื่องของการผลิต การใช้ชีวิต และการจับจ่ายใช้สอย จะเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวอีกส่วนหนึ่ง ทำให้เศรษฐกิจจีนกลับคืนมาได้อีกระดับหนึ่ง เหลือเพียงความกังวลใจจากภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว

ดังนั้นการที่นโยบายของประเทศไทยไม่เลือกปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวจีน เมื่อผ่านพ้นช่วงเดือน มี.ค.2566 ไปแล้ว เชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนมีหมุดหมายมาเที่ยวไทยเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยที่คาดว่าปี 2566 จะอยู่ที่ 25 ล้านคน อาจจะทะลุไปได้ ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยหมุนไปได้ดีขึ้นจากเดิม

โดยสอดคล้องจากดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือในช่วง มี.ค.2566 พบว่าอยู่ที่ระดับ 121.75 ปรับตัวลดลง 2.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” มองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด

ขณะที่ภาพการเมือง ตลาดหุ้นจะไม่มีการเลือกข้าง โดยหัวใจที่ตลาดชอบคือความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง โดยช่วงไตรมาส 2/2566 ที่จะเป็นช่วงเลือกตั้งก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เงินสะพัดส่วนหนึ่ง โดยเกิดกิจกรรม จับจ่ายใช้สอย การเตรียมการเลือกตั้งต่าง ๆ บวกกับนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาทำให้ GDP ไตรมาส 2/2566 เศรษฐกิจไทยจะหมุนได้ดี ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยได้

“ถ้าเลือกตั้งเรียบร้อย เราจะมีรัฐบาลใหม่เดือนไหน ถ้ารัฐบาลใหม่มาช้า จะมีนัยกับงบประมาณในปีถัดไป ถ้าเลือกตั้งแล้วไม่ชัดเจนว่าใครชนะ จะมีความสับสน หรือตั้งได้แต่ไม่มีเสถียรภาพ จะเป็นสิ่งที่ตลาดจะกังวลใจ” นายกอบศักดิ์ กล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาคส่งออกที่ลดลงต่อเนื่อง 5-6 เดือนแล้ว แสดงถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลต่อประเทศไทยแล้ว ซึ่งจะทำให้รายได้ส่งออกไทยจะไม่ได้เหมือนเดิม

ขณะที่ภาพเงินเฟ้อไทยเริ่มลดลงมาในไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมา โดยประเมินการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปี 2565 ปรับขึ้นมา 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% คาดว่าในปี 2566 แบงก์ชาติคงจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ประมาณ 2-3 ครั้ง ในเดือน ก.พ., เ.ม.ย., หลังจากนั้นช่วงกลางปีที่เศรษฐกิจโลกถดถอยชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ

รวมถึงผลกระทบส่งออกชัดเจน แบงก์ชาติอาจจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือหยุดการขึ้นดอกเบี้ยก่อน ทั้งปีก็คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยประมาณกว่า 1% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสหรัฐ