กอบศักดิ์ ประธานสภาตลาดทุนไทย กาง 5 เทรนด์สำคัญทางเศรษฐกิจปี 2566

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กาง 5 เทรนด์สำคัญทางเศรษฐกิจปี 2566 เชื่อเป็นปีที่แย้มประตูสู่โอกาสลงทุน หลังปีก่อนเข้าสู่หลุมหลบภัย

วันที่ 10 มกราคม 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า 5 เทรนด์สำคัญทางเศรษฐกิจในปี 2566 ประกอบด้วย 1.เงินเฟ้อเข้าสู่ช่วงขาลงในประเทศต่าง ๆ แต่ระหว่างเดือนอาจจะมีความผันผวนขึ้นลงบ้างในแต่ละช่วง เช่น เงินเฟ้อสหรัฐลดลงต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน จากระดับ 9.1% ตอนนี้ลงมาอยู่ที่ 7.1% ซึ่งยังเหลืออีก 2 ใน 3 ที่จะต้องกดเงินเฟ้อลงมาสู่กรอบเป้าหมายที่ 2% สาเหตุเพราะว่าราคาน้ำมันโลกและราคาโลหะปรับตัวลง ขณะเดียวกันภาพเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงจากเดิม ส่งผลทำให้เงินเฟ้อปรับตัวดีขึ้น

2.ดอกเบี้ยในประเทศต่าง ๆ กำลังจะเข้าสู่จุดสูงสุด แล้วคงอยู่ตรงนั้นจนถึงปลายปี 2566 เช่น ดอกเบี้ยเฟดครั้งล่าสุดชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงเหลือ 0.5% โดยในปี 2565 เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 4.375% พร้อมส่งสัญญาณว่าในปี 2566 จะขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.75% โดยตลาดคาดการณ์ว่ารอบการประชุมเฟดช่วงต้นเดือน ก.พ. 2566 จะขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% โดยตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ออกมาในช่วงกลางเดือน ม.ค.นี้ จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของเฟดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.5%

“เฟดน่าจะจบการขึ้นดอกเบี้ยช่วงประมาณเดือน พ.ค. 2566 และจะคงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงไปอีกประมาณ 11 เดือน ทำให้ดอกเบี้ยเฟดจะลดระดับลงประมาณช่วงต้นปี 2567”

3.ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาหรือถดถอย (Recession) มาเยือนในหลายประเทศ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2566 เมื่อช่วงเดือน ต.ค. 2565 จะเติบโต 2.7% โดยคาดว่าไอเอ็มเอฟน่าจะหั่นประมาณการลงมาจากเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐน่าจะโตถอยลงจากประมาณการที่ 1% และเศรษฐกิจยุโรปน่าจะเริ่มติดลบเกือบทั้งภูมิภาค จากประมาณการที่โต 0.5% ขณะที่เศรษฐกิจลาตินอเมริกาไปได้ไม่ดี

“1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันจีนที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจโลกปีนี้ ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะปกติจีนเป็นหัวจักร ฉะนั้นต้องจับตามองปีนี้ว่าจะมีนัยต่อส่งออกไทยอย่างไร” นายกอบศักดิ์กล่าว

4.เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) บางส่วนประสบปัญหาวิกฤต โดยอยู่ภายใต้แรงกดดัน จากราคาพันธบัตรที่มีมูลค่าต่ำ น่ากังวลใจ เช่น อียิปต์ ต้องลดค่าเงินปอนด์อียิปต์ 2 ครั้ง เกือบ 50% ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2565 เป็นต้นมา ค่าเงินปอนด์อียิปต์ยังอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ ยังคุมสถานการณ์ไม่ได้ และศรีลังกา ที่ค่าเงินรูปีศรีลังกาอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากเงินเฟ้อที่สูงถึงเกือบ 57% ในปัจจุบัน

5.สินทรัพย์บางส่วนเริ่มฟื้นตัว เป็นโอกาสการลงทุน โดยในปี 2566 เชื่อว่าเป็นปีที่น่าจะใกล้ถึงจุดของการเข้าสู่การลงทุนรอบใหม่ เนื่องจากช่วงที่เกิดปัญหาหรือเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Markets) หลังจากนั้นผลตอบแทนจะเด้งกลับแรง โดยโอกาสลงทุนจะอยู่ที่ต่างประเทศเพราะหุ้นไทยราคาไม่ค่อยตก ดังนั้นไม่อยากให้นักลงทุนพลาดโอกาส แต่อย่าซื้อ ๆ ขาย ๆ เพราะแม้ว่าซื้อแล้วราคาหุ้นตกลงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ตามมาก็ถือว่าดีมากอยู่


“หากปี 2565 เป็นปีของการเข้าสู่หลุมหลบภัย ในปี 2566 จะเป็นปีที่แย้มประตูสู่โอกาส” นายกอบศักดิ์กล่าว