ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ เทขายหุ้น ยักษ์อีวี BYD ไม่หยุด

วอร์เรน บัฟเฟตต์ BYD

BYD ผู้ผลิตอีวีของจีนทำสถิติยอดขายขึ้นแซง “เทสลา” ปีที่ผ่านมา แต่ทำไม Berkshire Hathaway ของมหาเศรษฐีนักลงทุน”วอร์เรน บัฟเฟตต์” เทขายหุ้น BYD อย่างต่อเนื่อง

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 รอยเตอร์ รายงานว่า Berkshire Hathaway บริษัทด้านการลงทุน ของมหาเศรษฐีนักลงทุนวีไอ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เทขายหุ้น BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สัญชาติจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง จำนวน 4.235 ล้านหุ้น ด้วยมูลค่า 1.09 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 139 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 จากเอกสารที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

โดยการขายหุ้นบีวายดีครั้งล่าสุด ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท BYD ของ Berkshire Hathaway ลดลงเหลือ 11.87% จาก 12.26%

ถือเป็นการขายหุ้น BYD ต่อเนื่องของ Berkshire Hathaway โดยเมื่อต้นเดือนมกราคม2566 ที่ผ่านมา ก็เพิ่งขายหุ้นจำนวน 1 ล้านหุ้น รวมทั้งเมื่อต้นเดือนพ.ย.2565 Berkshire ก็ได้ขายหุ้นBYD ได้เงินไปราว145ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน2565 ได้มีการเทขายประมาณ 3.05 ล้านหุ้น หรือ 1.4%

โดยในเดือนสิงหาคม 2565 Berkshire ได้รายงานสัดส่วนการถือหุ้น BYD อยู่ที่ประมาณ 153.3 ล้านหุ้น จากที่มีอยู่เดิม 225 ล้านหุ้น

ทั้งนี้ Berkshire Hathaway ได้เข้าลงทุนใน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ตั้งแต่ปี 2551 (2008)โดยลงทุนซื้อหุ้นจำนวน 228 ล้านหุ้นด้วยเม็ดเงิน 232 ล้านดอลลาร์ หรือราคาประมาณหุ้นละ 1 ดอลลาร์เศษ ซึ่งหุ้นตัวนี้แนะนำโดย ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ รองประธานบริษัท Berkshire ที่ถนัดการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากกว่าบัฟเฟตต์

นักวิเคราะห์มองว่า การขายหุ้น BYD ของ Berkshire Hathaway คงจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะบริษัทถือหุ้นมา 14 ปี ซึ่งราคาหุ้นของ BYD เด้งขึ้นมาประมาณ 30-40 เท่า โดยราคาล่าสุด (10 กุมภาพันธ์ 2566) ราคาอยู่ที่ 240 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 30.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น ดังนั้นความเคลื่อนไหวในการขายหุ้นBYD อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมาก็เพื่อเพื่อ ‘ทำกำไร’ นั่นเอง และคาดว่าจะยังมีการขายต่อในอนาคต

โดยผู้ผลิตรถอีวี BYD สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งในประเทศจีนด้วยราคาที่เอื้อมถึง จนทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท BYD แซงหน้า Tesla ของอีลอน มักส์ในปี2565ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ BYD กำลังเจรจากับ Ford เพื่อซื้อโรงงานผลิตในเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการขยายธุรกิจในต่างประเทศครั้งใหญ่สำหรับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน