ตลาดรถอีวีแข่งเดือด BYD เขย่าอีกรอบ แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวจ้าละหวั่น

ศัลยาประชาชาติ ... อมร พวงงาม 


เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) บ้านเรา “จุดติด” เรียบร้อย จากตัวเลขยอดจองปี 2565 ที่ผ่านมาทะลุ 25,000 คัน  แม้เทียบเป็นสัดส่วนกับตลาดรถยนต์ทั้งระบบจะดูไม่เยอะ เพียงแค่ 1-2% เท่านั้น แต่ต้องถือเป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ลองย้อนกลับไปดูเมื่อ 10 ปีก่อน  ปี 2555 กรมการขนส่งทางบกรายงานว่าประเทศไทยมียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแค่ 172 คัน แต่ละปีเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ ปี 2561 มียอดจดทะเบียนเพิ่มเป็น 325 คัน  ปี 2562 ขยับเป็น 1,572 คัน และมาพุ่งพรวดพราดทะลุ 2 หมื่นกว่าคันในปี 2565

อย่างแรกที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ บ้านเราเริ่มมีผู้เล่นมากราย แต่ละแบรนด์มีโปรดักต์เด่น ๆ และแคมเปญเด็ด ๆ กระตุ้นการขายกันอย่างคึกคัก แต่ตัวเร่งที่แข็งแกร่งสุด ๆ คือแรงสนับสนุนจากรัฐบาลที่กระโดดลงมาช่วยสร้าง “ดีมานด์” อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งปีที่ผ่านมาคลังใช้งบฯ อุดหนุนวงเงินเกือบ 3,000 ล้านบาท ให้รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้าน ผู้ซื้อได้รับเงินอุดหนุน 1.5 แสนบาท

ขณะที่จักรยานยนต์ไฟฟ้า รับเงินอุดหนุน 8 หมื่นบาท ซึ่งมาตรการสนับสนุนนี้ มีผู้ผลิตทั้งแบรนด์จีน ญี่ปุ่น และอื่น ๆ รวมถึง 13 ราย อาทิ MG , เกรทวอลล์, โตโยต้า, โวลต์, ไมน์ โมบิลิตี, BYD, เนต้า, เดโก้ กรีน, เอช เซม มอเตอร์, ไทยฮอนด้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ และล่าสุดฮอนด้า

แต่ตลาดก็ต้องมาสะดุดหลังจากที่มาตรการส่งเสริมรถอีวีออกฤทธิ์เร็วเกินไป  ยอดจองที่วิ่งเข้าใส่ค่ายรถอย่างถล่มทลายทำให้หลายแบรนด์ต้องประกาศ “หยุด” รับจอง บางรายถึงกับแจ้งลูกค้าว่าไม่มีกำหนดทั้งนี้ปัญหาใหญ่คือ “ชอร์ตซัพพลาย” โดยเฉพาะการขาดแคลนเซมิคอนดรักเตอร์  ส่งผลให้ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้วต่อเนื่องต้นปี 2566 ตลาดรถอีวีเงียบเหงาไปพักใหญ่เพราะไม่มีของขาย นี่ถ้าแต่ละแบรนด์สามารถผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าได้ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าปี 2565 อาจจะได้เห็นตัวเลขก้าวไปแตะ 30,000 คัน

BYD เปิดจองรอบ 2 ราคาเดิม

แต่วันนี้ตลาดเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทันทีที่แบรนด์  BYD ประกาศเปิดรับจองรอบใหม่ โดย”ไฮโซพก” ประธานวงศ์ พรประภา  ซีอีโอ บริษัท  เรเว่ ออโตโมบิล จำกัด ตัวแทนจำหน่าย BYD ในประเทศไทยแจ้งข้อมูลผ่านสื่อระบุว่าในวันที่ 2 ก.พ. 2566 บริษัทเตรียมเปิดรับจองรถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3 อีกครั้งทุกโชว์รูมทั่วประเทศ หลังจากที่บริษัทได้รับการจัดสรรโควตารถรุ่นดังกล่าวจากบริษัทแม่มาอีกลอตใหญ่เป็นจำนวน 7,000 คัน และคาดว่าจะส่งมอบได้ราวช่วงก่อนวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ในเดือน เม.ย.นี้อย่างแน่นอน

BYD ประกาศหยุดรับจองชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ปีที่แล้วโดยให้เหตุผลว่าทำยอดจองรวมครบ 10,000 คันตามโควตาที่ได้จากบริษัทแม่ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า แบรนด์รถจีนที่ปิดรับจอง  นอกจากจะมีปัญหาด้านการผลิตแล้ว ยังมีเหตุผลเรื่องต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ทำให้หลายคนคาดว่าการเปิดรับจองรอบใหม่นี้อาจจะมีการปรับราคาขาย แต่ BYD ยืนยันว่า  ATTO 3 ยังขายราคาเดิม ซึ่งมีด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ BYD ATTO 3 Extend Range ราคา 1,199,900 บาท และ BYD ATTO 3 Standard Range ราคา 1,099,900 บาท

ขณะที่ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาบอร์ดบีโอไอยังไฟเขียวอนุมัติโครงการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ของบริษัท บีวายดี ออโต้ คอมโพเนนท์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 3,893 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว ทั้งการสร้างฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ โดยเฉพาะสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ BYD ในอนาคต

MG ลั่นปีหน้าเริ่มผลิตในปท.

ขณะที่แบรนด์ MG  ของกลุ่มซีพีก็พยายามสร้างความคึกคักในฐานะผู้นำปีนี้ยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับรถอีวีทั้ง 3 รุ่น   ทั้ง MG ZS (EV), MG EP และ MG4 ล่าสุดกำลังจะคลอด  MG EP ไมเนอร์เชนจ์เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า พร้อมประกาศว่าปีหน้า MG จะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากฐานการผลิตรถยนต์ในจังหวัดระยอง โดยกำลังศึกษาแนวโน้มและความต้องการของลูกค้าชาวไทยว่ารุ่นใดเหมาะสม

MG เข้าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรามา 3 ปี ส่งมอบรถอีวีไปแล้วกว่า 7,000 คัน เป็นผู้นำในตลาดนี้ทั้งยอดขายและจำนวนสถานีชาร์จ ปีนี้ยังมีแผนเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในศูนย์บริการ MG ทั่วประเทศแล้ว ยังเร่งขยายไปปั๊มบางจากอีก 40 กว่าแห่ง และอนาคตตั้งเป้าว่าจะให้มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ MG อย่างน้อย ๆ ทุก 150 กิโลเมตร แบรนด์ MG มุ่งต่อการทำตลาดรถอีวีเคยประกาศว่าในปี 2573 สัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้าของ MG จะขยัยไปอยู่ที่ 50% ของยอดขายทั้งหมด จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนราว 20%”

เกรทวอลล์พร้อมส่งอีก 6รุ่น

ไม่ต่างจากแบรนด์เกรทวอลล์ ปีที่แล้วขาย ORA Good Cat ได้มากถึง 4,326 คัน เฉพาะเดือนธันวาคมส่งมอบได้มากถึง 1,610 คัน สร้างสถิติยอดขายรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา

ส่วนตลาดปี 2566 เกรทวอลล์ฯ ประกาศจะเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เหนือระดับยิ่งขึ้น สร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ตลอดจนสานต่อพันธกิจที่จะนำรถยนต์อีก 4 รุ่นเข้ามาเปิดตัวเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัย อัจฉริยะ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับตลาดเมืองไทย พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  เร่งขยายเอาต์เลตและสถานีชาร์จเพิ่มเติม จากปี 2565 ที่สามารถขยายเครือข่าย GWM Store ทั้งแบบ direct store และ partner store ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศได้สูงถึง 62 แห่ง และกำลังก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 18 แห่ง

ขณะที่การขยายสถานีชาร์จ เกรทวอลล์ก็ได้เร่งดำเนินการแต่งตั้งผู้ดำเนินการสถานีชาร์จได้ครบ 55 แห่ง ตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงสถานีชาร์จแบบชาร์จเร็วที่มีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 120 กิโลวัตต์ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงตลอดทั้ง 7 วัน และให้บริการแก่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ทุกรุ่นทุกยี่ห้ออีกด้วย

นอกจากรถอีวีแบรนด์จีน ที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนักหลังจากผู้บริโภคและตลาดเปิดรับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งเคยยิ่งใหญ่ในอุตฯรถยนต์มายาวนาน ก็เริ่มปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด

แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวจ้าละหวั่น

โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” แม้ว่าปีที่แล้วจะมีข้อจำกัดมีโควตารถอีวี แบรนด์  “bZ” เพียง 80 คันและถูกจับจองไปครบถ้วนด้วยเวลาที่รวดเร็ว  ก็มีกระแสว่าโควตาสำหรับปีนี้น่าจะเยอะกว่าปีที่แล้ว  และโตโยต้ายังมีกระบะ รีโว่ อีวี อีกหนึ่งรุ่นที่พร้อมจะทำตลาดในราวไตรมาส 3 ปีนี้

เช่นเดียวกับแบรนด์ ฮอนด้า ที่เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า e:NS1 ELECTRIC ลงทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ โดยรถรุ่นนี้ฮอนด้าประกาศจะขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงานประกอบ รถยนต์ฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากบริษัทได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตามแผนงานฮอนด้าจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ออกสู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  อีกทั้งรถอีวีตัวนี้ยังได้เข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้รถอีวี ซึ่งกรมสรรพสามิตให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อคันละ 150,000 บาท และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2%

ตลาดรถอีวีที่กำลังจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่ปัญหาซัพพลายและเซมิคอนดรักเตอร์คลี่คลายและค่ายรถเริ่มเปิดรับจองรอบใหม่ ทำให้หลายฝ่ายประเมินกันว่าในปี 2566 ตลาดอีวีจะโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรือมีสัดส่วนยอดขายขึ้นไปแตะระดับ 5-6%

ลั่นปี’68 ทะลุ 3 แสนคัน


ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากผลของราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐที่ออกมาได้ถูกจุด ทั้งการให้เงินอุดหนุนและการลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะไปสิ้นสุดปี 2568 น่าจะทำให้ผู้บริโภคมีการเร่งซื้อรถอีวีเพิ่มขึ้น และมีผลทำให้จำนวนรถอีวีแบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ในประเทศไทย มีโอกาสที่ยอดสะสมเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 300,000 คันในปี 2568 ด้วยสัดส่วนของรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด ต่อรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ 100% ที่ 40 : 60 และยังประเมินว่าจำนวนช่องจอดรถสำหรับสถานีชาร์จไฟฟ้าในที่สาธารณะทั่วประเทศในปี 2568 ที่เหมาะสมต้องมีสะสมไม่น้อยกว่า 19,000 ช่องจอด ถึงจะเพียงพอต่อปริมาณรถอีวีสะสม