“ดร.อมรเทพ” ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิด 10 เรื่องที่ควรรู้จากกรณี การปิด Silicon Valley Bank หรือ SVB แบงก์ใหญ่เป็นอันดับ 16 ในสหรัฐ ประเมิน ส่งผลกระทบจำกัดต่อตลาดการเงินสหรัฐ ลั่น วิกฤตเปลี่ยนรูปแบบจากด้านเครดิตปี’51 สู่ mismatch-สภาพคล่องปี’66 แนะนักลงทุน ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
วันที่ 13 มีนาคม 2566 ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผย 10 ข้อ กรณีการปิด SVB คาดส่งผลกระทบจำกัดต่อตลาดการเงินสหรัฐ
- SVB คือใคร
SVB หรือ Silicon Valley Bank เป็นแบงก์ใหญ่เป็นอันดับ 16 ในสหรัฐด้วยสินทรัพย์ 2.09 แสนล้านดอลลาร์โดยมาทำธุรกิจกับกลุ่ม Start up หรือกลุ่มเทคล่าสุดในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมาถูกสั่งปิดโดย FDIC หรือ Federal Deposit Insurance Corp.
คล้าย ๆ หน่วยงานคุ้มครองเงินฝาก (แต่คุ้มครองเพียง 250,000 ดอลลาร์ ซึ่งมีเพียง 3% ของบัญชีในแบงก์นี้ (อีกราว 97% มีเงินมากกว่าและยังไม่จ่ายส่วนที่เหลือคืนจนกว่าจะขายทรัพย์สินได้ลองนึกภาพธุรกิจจะจ่ายคู่ค้าหรือพนักงานยังไง)
- ทำไมล้ม
ปัญหาของแบงก์นี้คือเกิดจากความน่าเชื่อถือ เกิด bank run หรือคนไม่มั่นใจแห่ถอนเงินจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มาจาก partners ที่เป็น Private Equity, Venture Capital, Tech, Health tech แค่วันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. วันเดียวมีคนถอนเงินฝากไปราว 1 ใน 4 ของเงินฝากทั้งหมดแบงก์ขาดกระแสเงินหมุนเวียนเจอปัญหาสภาพคล่องจนลามเป็นปัญหาล้มละลาย FDIC
จึงต้องมาระงับกิจการโอนเงินฝากให้แบงก์ที่จะจัดตั้งใหม่ขอย้ำว่าวิกฤตนี้ไม่เหมือนปี 2008 ตอนเลห์แมนล้ม ตอนนั้นคือปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิตจากการลงทุนในอนุพันธ์ด้านอสังหาฯตอนนี้คือความเสี่ยงด้านตลาดหรือสภาพคล่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นและขาดการบริหารที่ดีด้านระยะเวลาเงินฝากและสินเชื่อ
- ทำไมคนไม่ไว้ใจ
อยู่ ๆ ราคาหุ้นร่วงลง 60% ในวันเดียวจากความกังวลว่าจะเกิดการเพิ่มทุนจำนวนมากเพื่อชดเชยการขาดทุนมหาศาลจากการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจริง ๆ ถ้าไม่ขายก็ไม่ขาดทุน (แต่ต้องรับรู้ Fair Value ผ่าน Balance sheet) เรียกว่า unrealized loss คือราคาพันธบัตรลดลงต่ำว่าหน้าตั๋วเพราะเมื่อดอกเบี้ยขึ้นแรงราคาพันธบัตรที่สวนทางกับดอกเบี้ยที่ขึ้นจะลดลง
เมื่อ SVB ต้องการเงินก็จำเป็นต้องขายขาดทุนพอขาดทุนก็ต้องการเงิน ไปขอเพิ่มทุนคนก็กลัวเทขายหุ้น คนฝากก็ panic ตกใจถอนเงินจนเป็นภาวะปิดตัวเช่นนี้ และอีกประเด็นที่ทำไมขาดเงินก็เพราะธุรกิจเทคในสหรัฐโดยเฉพาะเทคตัวเล็กขาดทุนอยู่มากยังไม่มีกำไรหรือกระแสเงินสดดีพอดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่องยิ่งมีปัญหา กระทบแบงก์นี้ไปด้วยที่เน้นธุรกิจกลุ่มนี้
- จะลามไหม
ในช่วงวันพุธที่ 8 มี.ค. ถึงวันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. เราเห็นราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับย่อลงเพราะความกังวลว่าจะมีแบงก์อื่นล้มด้วยไหมแต่ปัญหานี้น่าอยู่ในแบงก์ขนาดเล็กที่เน้นกลุ่มเทคหรือ start up เป็นหลัก ซึ่งต่างกับแบงก์ใหญ่ ในวันศุกร์แล้วหุ้นแบงก์ใหญ่ฟื้นแต่แบงก์เล็กลงต่อ โดยรวมไม่น่าลาม โดยธนาคารที่มีการถือตราสารที่ดี
ยังสามารถเข้าถึงสภาพคล่องจากเฟดได้แต่อาจมีแบงก์ที่มีปัญหาเพิ่มในกลุ่มที่ขาดทุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นแรงในสหรัฐ จนราคาพันธบัตรลดลง (จริง ๆ ถ้าถือจนครบอายุสัญญาจะไม่ขาดทุน) ต้องดูว่าใครร้อนเงินอีกหรือมีใครโดนแห่ถอนเงินจากวิกฤตศรัทธาบ้าง (หลัก ๆ คงจะเป็นธนาคารที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับกลุ่มเทค ที่ลงทุนใน Crypto ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ)
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ทางการสหรัฐนำโดยกระทรวงการคลัง ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และองค์กรประกันเงินฝากในสหรัฐ (FDIC) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบธนาคารของสหรัฐ โดย
1) ประกาศรับประกันเงินฝากทั้งหมดของธนาคาร SVB โดยผู้ฝากเงินจะสามารถเข้าถึงเงินทั้งหมดของพวกเขาได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม เป็นต้นไป และจะไม่สูญเสียผลประโยชน์แต่อย่างใด
2) ประกาศข้อยกเว้นความเสี่ยงเชิงระบบที่คล้ายคลึงกันสำหรับ Signature Bank ซึ่งผู้ฝากเงินจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เช่นกัน
3) ประกาศจัดหาเงินกองทุนพิเศษให้กับ FDIC เพื่อให้มีเพียงพอในการสร้างความมั่นใจให้กับระบบธนาคารของสหรัฐ จากสถานการณ์ล่าสุด เราจึงเห็นตลาดเงินตลาดทุนของสหรัฐ ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตอบสนองต่อมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว
- ตลาดเงินตลาดทุนจะผันผวนอย่างไร
ตลาดหุ้นน่าจะยังผันผวนจากความกังวลว่าจะมีแบงก์ไหนเป็นรายต่อไปที่ล้ม หรืออย่างน้อยก็ห่วงการลงทุนในกลุ่มการเงินไว้ก่อน รวมทั้งกลุ่มเทคขนาดเล็กที่คนอาจกังวลปัญหาขาดเงินทุนโดยเฉพาะช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้
- จะเกิดการว่างงานรุนแรงหรือไม่
ปัญหาการว่างงานในสหรัฐ หากจะเพิ่มขึ้นก็น่ากระจุกในกลุ่มเทคที่จะมีการเลิกจ้างเพิ่มเติม แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำต้นทุนสูงตาม รายได้โตไม่ทัน ต้องหาทางลดรายจ่ายลดคน แต่ไม่น่ารุนแรงไปกระทบภาคอื่นมากสหรัฐยังไม่อัตราการว่างงานต่ำแม้ขยับเป็น 3.6% แต่ก็นับว่าต่ำมากโดยเฉพาะยังมีการเติบโตของค่าจ้างในกลุ่มภาคบริการมากหาคนทำงานยากปัญหานี้ยังลากยาว ไม่น่าส่งผลให้คนว่างงานมากขึ้นจากกรณี SVB ล้ม
- เงินเฟ้อมีโอกาสลดลงหรือไม่หากเศรษฐกิจมีปัญหา
อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐมีโอกาสลดลงจากปีก่อนที่เฉลี่ย 8% ปีนี้น่าอยู่ที่ราว 4% แต่หากจะลดลงแบบเดือนต่อเดือนคงยาก เพราะอัตราค่าจ้างยังสูงขึ้นบริษัทยังต้องขยับราคาสินค้าเพิ่ม และการคาดการณ์ราคาสินค้ายังสูงแต่หากเศรษฐกิจสหรัฐมีปัญหา ชะลอลงแรงจริง อัตราเงินเฟ้อก็อาจลดลงได้บ้างแต่ไม่น่าลงได้เร็วเหมือนในอดีต เพราะมีปัญหาเชิงโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานยังมีปัญหา
- เฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยรอบเดือนมีนาคมหรือไม่และจะจบรอบเร็วขึ้นได้ไหม
หากเฟดจะลดความร้อนแรงของการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม ไม่ขึ้น 0.50% แต่ขึ้นเพียง 0.25% และระดับดอกเบี้ยสูงสุดอาจอยู่ที่ระดับ 5.75% ไม่ใช่ไปแตะระดับ 6.00% และใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมนี้ซึ่งความไม่แน่นอนจากตัวเลขอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นการเพิ่มของค่าจ้างไม่ร้อนแรงการขึ้นดอกเบี้ยอาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่ยังจำเป็นอยู่ เพราะเงินเฟ้อยังสูง กรณี SVB อาจไม่มีน้ำหนักมากหากไม่ลามและรุนแรง
- ผลกระทบต่อไทยหลังปัญหาสภาพคล่องในสหรัฐ
โดยมากผลกระทบต่อไทยในระยะสั้นจะผ่านตลาดเงินและตลาดทุนที่ยังมีแนวโน้มผันผวนในสัปดาห์นี้ อาจมีแรงเทขายในสินทรัพย์เสี่ยงบ้างในระยะสั้นแต่ตลาดน่าให้น้ำหนักการชะลอตัวของค่าจ้างแรงงานและอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐแต่อาจรอตัวเลขเงินเฟ้อยอดค้าปลีก และอื่น ๆ เพื่อดูสัญญาณว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อแรงหรือไม่
ซึ่งกรณี SVB อาจมีน้ำหนักด้านเสถียรภาพตลาดการเงินทำให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปเงินน่ากลับมาตลาดเกิดใหม่ เงินบาทน่าขยับแบบ sideway 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ส่วนหาก SVB มีปัญหาลามต่อหรือมีความไม่แน่นอนต่อก็อาจกระทบภาคการส่งออกของไทยซึ่งก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ให้ชะลอต่อได้ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าย่อลงตามอุปสงค์ที่อ่อนแอลงทำให้การนำเข้าไทยลดลงตามไม่น่ามีปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเหมือนก่อนหน้าส่วนภาคการท่องเที่ยวของไทยไม่น่ากระทบ
โดยรวมปัญหานี้น่ากระจุกในสหรัฐไม่น่ากระทบเอเชีย-แปซิฟิกมากนัก โดยเฉพาะจีนที่ยังเติบโตได้ดีแต่แน่นอนว่าการส่งออกไม่สดใส
สำหรับธนาคารพาณิชย์ของไทย คงไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ไม่ได้อนุญาตให้ธนาคารลงทุนใน Crypto โดยตรง ขณะที่กลุ่มการเงินก็ยังคงถูกกำกับอย่างเข้มงวดจาก Regulators ของไทย
- คำแนะนำการลงทุนในช่วงนี้
เราเชื่อว่าปัญหาภาคธนาคารของสหรัฐกระจุกในธนาคารขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกลุ่มเทคหรือกลุ่ม start up รวมทั้งมีการขาดทุนทางตัวเลขที่ไม่รับรู้ (unrealized loss) สำหรับธนาคารที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐแต่ด้วยความน่าเชื่อถือที่ยังดี และหากธนาคารถือพันธบัตรจนครบอายุสัญญาก็ไม่เสี่ยงขาดทุน (ผลกระทบน่าจะอยู่ในระดับจำกัด)
จึงมองว่าเป็นความผันผวนระยะสั้นไม่ลามจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานดี กระจายการลงทุนทั่วโลกยังน่าทำได้
นอกจากนี้ ที่ลุ้นคือเงินเฟ้อสหรัฐแม้ยังอยู่ในระดับสูง แต่มีท่าทีชะลอลงซึ่งนักลงทุนน่าหาจังหวะเข้าสะสมพันธบัตรหรือตราสารหนี้ ที่ใกล้ถึงจุดสูงสุดส่วนภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยเฉพาะจีนยังน่าสนใจเราอาจให้น้ำหนัก A-share หรือหุ้นในจีน มากกว่า H-share ที่มีกลุ่มเทคในฮ่องกงโดยรวมน่าเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีนและจีนน่าหาทางลดความผันผวนในตลาดทุนเทียบสหรัฐได้
Lesson learned ข้อคิดที่ได้จากกรณี SVB
- อย่าใส่ไข่ทุกใบในตะกร้าใบเดียวควรกระจายการลงทุน อย่าเป็นเหมือนคนฝากเงินใน SVB ที่พึ่งแบงก์เดียว รวมทั้งนักลงทุนไม่ลงทุนในสินทรัพย์ใดประเภทเดียว
2. วิกฤตเปลี่ยนรูปแบบเสมอ จากด้านเครดิตปี 2008 เป็น mismatch และสภาพคล่องปี 2023 หรืออาจมีรูปแบบใหม่ ๆ เข้ามาแต่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นในระดับสูงเช่นนี้อาจเห็นธุรกิจอื่นที่มีปัญหาซ่อนไว้รอประทุขึ้นได้
3. แม้ตลาดจะฟื้นแต่นักลงทุนยังควรระมัดระวังความผันผวนต่อไป จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐน่าแบ่งเงินลงทุนเป็นหลาย ๆ ไม้ ค่อย ๆ ลงทุนทีละน้อยจนครบเป้าหมาย ไม่แนะนำลงทุนทีเดียวครบเพราะเราไม่มีทางรู้ทิศทางตลาดและไม่จำเป็นต้องได้ราคาต่ำสุดเสมอไปแต่น่าได้ความสบายใจไปด้วย
โดยสรุป กรณี SVB น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะกลุ่มจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่กระทบราคาพันธบัตรและมีผลให้กลุ่มเทคและกลุ่ม Startup มีปัญหาขาดทุนต่อเนื่องจนกระทบธนาคารที่เชื่อมโยงกับกลุ่มนี้รวมทั้งผู้ฝากเงินขาดความเชื่อมั่นจนแห่ถอนเงิน
และปัญหาเช่น SVB นี้ไม่น่าลามจนเกิดวิกฤติการเงินเหมือนในปี 2008 เพราะการเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจจริงอื่น ๆ มีน้อยและขนาดของธนาคารที่มีปัญหาไม่ได้ใหญ่จนมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเชื่อว่าเฟดมีความยืดหยุ่นพอที่จะดูแลปัญหาในลักษณะนี้
ซึ่งจากสถานการณ์ล่าสุด ทางการสหรัฐนำโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และองค์กรประกันเงินฝากในสหรัฐ (FDIC) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมรับประกันเงินฝากทั้งหมดของธนาคาร SVB โดยให้สามารถถอนเงินได้ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. เป็นต้นไป รวมทั้งยังได้รับประกันเงินฝาก Signature Bank ด้วย
โดยผู้ฝากเงินไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ นอกจากนี้ ยังได้ประกาศจัดหาเงินกองทุนพิเศษให้กับ FDIC เพื่อให้มีเพียงพอในการสร้างความมั่นใจให้กับระบบธนาคารของสหรัฐอีกด้วย ตลาดเงินตลาดทุนของสหรัฐจึงปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว