กลยุทธ์ “ชัย โสภณพนิช” BKI ฟันกำไรลงทุนกลบขาดทุนโควิด

ชัย โสภณพนิช
สัมภาษณ์

กรุงเทพประกันภัย เป็นหนึ่งบริษัทประกันวินาศภัยยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยที่ต้อง “เจ็บตัว” ค่อนข้างมาก จากการเข้าไปรับประกันภัยโควิด-19 เจอจ่ายจบ โดยจนถึงสิ้นปี 2565 ผลประกอบการภาพรวมขาดทุนสุทธิ 638 ล้านบาท เพราะต้องจ่ายเคลมโควิดทุกกรมธรรม์ไปทั้งสิ้น 8,700 ล้านบาท ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิจากการรับประกันภัยเกือบ 7,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี การบริหารพอร์ตลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพเป็นตัวช่วยสำคัญของค่ายประกันใหญ่แห่งนี้ ส่วนจะมีเทคนิคอย่างไรนั้น “เจ้าสัวชัย” หรือ “ชัย โสภณพนิช” ประธานกรรมการ บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) ได้เล่าถึงการทำกำไรจากเงินลงทุนที่สูงถึง 5,108 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อเร็ว ๆ นี้

ขายหุ้นพยุงขาดทุนประกันปี’65

“เจ้าสัวชัย” เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้สุทธิจากการลงทุน 6,254 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่เกิดจากกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ กว่า 5,100 ล้านบาท และที่เหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยกำไรจากการขายหุ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท มาจากการขายหุ้น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ซึ่งจนถึงสิ้นปี 2565 ยังมีกำไรจาก BH อยู่อีกประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาหุ้นค่อนข้างสูงกว่าต้นทุนที่ซื้อไว้มาก ขณะเดียวกัน ก็มีกำไรจากการขายหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) อีกตัวละ 500 ล้านบาท

ปี’66 ตั้งเป้าพลิกกลับ “กำไรโต”

สำหรับทิศทางการบริหารพอร์ตลงทุนในปี 2566 นี้ “เจ้าสัวชัย” บอกว่า จะล้อไปกับแผนธุรกิจปีนี้ ที่บริษัทกรุงเทพประกันภัยวางไว้เป็น “ปีแห่งการพลิกฟื้นธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” โดยคาดจะพลิกกลับมามีกำไรก่อนหักภาษี (EBITDA) จำนวน 3,500 ล้านบาท มีเบี้ยรับรวมแตะ 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 12.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY)

“การบริหารธุรกิจประกันภัย เป้าหมายใหญ่คือต้องสร้างกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก โดยเฉลี่ยต้องมีสัดส่วนประมาณ 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นกำไรจากการลงทุน แต่ในช่วงปีที่ไม่ปกติ (เกิดสึนามิ, น้ำท่วมใหญ่, โควิดระบาด) กำไรจากการลงทุนจะสูงกว่ากำไรจากการรับประกันภัย เพราะเกิดความเปราะบางจากสถานการณ์เฉพาะ แต่ถ้าในปีปกติเราจะมีกำไรจากการขายหุ้นปีหนึ่งแค่ประมาณ 100-300 ล้านบาทเท่านั้น โดยจะอาศัยกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก”

ดังนั้น ปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยตั้งเป้าว่าจะมีกำไรจากการรับประกันภัยไม่น้อยกว่า 8% เทียบจากปีที่แล้ว หรือพลิกกลับมามีกำไรจากการรับประกันภัยประมาณ 2,400 ล้านบาท ตามเป้าเบี้ยรับรวมที่ 3 หมื่นล้านบาท และถ้าทำได้ดีควรจะมีกำไรจากการรับประกันภัยขึ้นไปถึง 12%

แต่ทั้งนี้ ความเปราะบางอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างปีที่ยังมองไม่ออก เช่น ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ เป็นต้น ส่วนที่เหลือจะเป็นกำไรจากการลงทุนและรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยเฉลี่ยจะมีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อยู่ประมาณ 4-5%

เตรียมเงินสดพันล้านซื้อหุ้นเด่น

“เจ้าสัวชัย” กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในปีนี้ ได้เตรียมเงินสดไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยดึงออกมาจากเงินฝากธนาคารที่มีอยู่กว่า 1 หมื่นล้านบาท ใช้กลยุทธ์ค่อย ๆ เข้าไปซื้อหุ้นเพื่อสะสม หรือค่อย ๆ สร้างเงินหมุนเวียนที่มากขึ้น เพราะใช้เงินสดจ่ายเคลมโควิดไปค่อนข้างมาก

โดยให้ความสนใจหุ้นธนาคารพาณิชย์ในตลาดหุ้นไทยเกือบทุกตัว คาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว จึงยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมไปถึงมองหุ้นผู้ผลิตอุปกรณ์ส่องสว่างยานยนต์ เพราะแม้ว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็ยังต้องใช้แสงสว่างจากหลอดไฟในการขับรถกลางคืน หรือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่น่าจะรักษาระดับกำไรกลับมาได้ และหุ้นอาหารยังคงน่าสนใจอยู่

อย่างไรก็ดี การเข้าซื้อหุ้นต้องดูจังหวะที่เหมาะสม โดยจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าดอกเบี้ยของสหรัฐมีโอกาสขึ้นอีกแค่ 1-2 ครั้ง และจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยประมาณกลางปีนี้ หลังจากนั้น ก็คาดว่าน่าจะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มได้ ซึ่งจะพิจารณาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือสม่ำเสมอ จะไม่ใช่หุ้นที่ราคาขึ้นเร็ว โดยการซื้อหุ้นจะดูเป็นการลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปี

“ในช่วงนี้ กำลังมอนิเตอร์ภาวะตลาดหุ้นอยู่ ว่าเราจะเริ่มซื้อหุ้นคืนมาบ้าง จากที่เราขายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยหุ้น BBL และ BLA ส่วนใหญ่ 70-80% เราซื้อคืนมาแล้ว แต่ BH เนื่องด้วยถือเกิน 10% เข้าไปซื้อเพิ่มไม่ได้ แต่ตัวหุ้นอื่น ๆ ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าไปซื้อ เพราะเชื่อว่าความไม่แน่นอนของตลาดยังมีมาก หุ้นน่าจะตกอีก เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อ และความไม่แน่นอนของฐานะการเงินแบงก์ในอเมริกาและยุโรปที่จะคงมีปัญหาต่อ ซึ่งจะถูกกระทบต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ”

“เจ้าสัวชัย” กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นตามราคาทุนของบริษัท มีสัดส่วนประมาณ 29% แต่หากปรับมูลค่าของหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (mark to market) จะมีสัดส่วน 60% ของพอร์ตลงทุนรวม ขณะที่เงินฝากประจำมีสัดส่วน 18% พันธบัตรรัฐบาล 8% หุ้นนอกตลาด 8% และที่เหลือเป็นอื่น ๆ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, กองทุนรวมตราสารทุน เป็นต้น

ฝากรัฐบาลใหม่แก้คอร์รัปชั่น

นอกจากนี้ ในโอกาสที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ของไทยในปีนี้ “เจ้าสัวชัย” กล่าวว่า อยากฝากว่า ถ้าจะให้ประเทศเดินไปได้ จะต้องแก้ปัญหาด้านคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นจุดที่ยากที่สุด รวมไปถึงต้องหาผู้นำประเทศที่บริหารงานด้วยความโปร่งใส มีความสามารถ และดูแลเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างดีด้วย