เทรนด์คนไทย “ลงทุน-ออม” ทองพุ่ง-ลุ้นเฟดยุติขึ้นดอกเบี้ย

ทองคำ

YLG ชี้เทรนด์คนไทยแห่ “ออมทอง-ลงทุนทองคำแท่ง” พุ่ง เหตุราคาทองยังขาขึ้น รอจังหวะเฟดจบรอบขึ้นดอกเบี้ย ให้กรอบแนวรับ 1,986-2,009 ดอลลาร์/ออนซ์ แนวต้าน 2,081-2,100 ดอลลาร์/ออนซ์ แนะทยอยเข้าซื้อช่วงราคาปรับลง

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองคำในปีนี้ ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี และยังมีแนวโน้มในการปรับตัวขึ้นต่อ ทำให้ปริมาณนักลงทุนที่เข้ามาลงทุน

ไม่ว่าจะเป็นการออมทอง หรือการซื้อทองคำแท่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีลูกค้าออมทอง ผ่านโปรแกรม “YLG GOLD SAVING” เติบโตขึ้นกว่า 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

รวมถึงการเทรดทองคำ 99.99% กับ YLG ผ่านฟีเจอร์ Gold Wallet บนแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ก็ได้รับการตอบรับที่ดี มียอดการเปิดบัญชีเพิ่มขึ้นกว่า 70% สะท้อนว่าช่องทางออนไลน์เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์และนักลงทุนเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน

ฐิภา นววัฒนทรัพย์
ฐิภา นววัฒนทรัพย์

ทั้งนี้ YLG มองราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 2566 นี้ยังเป็นภาพของการไซด์เวย์อัพ และมีโอกาสในการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 3 ปัจจัย คือ 1.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่น่าจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งล่าสุดเฟดได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% และส่งสัญญาณที่อาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย

ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ที่ 2,078 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 2.ธนาคารขนาดใหญ่ ๆ ของโลกหลายแห่งมีการปิดตัวลง เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีและอาจจะสะท้อนว่าอาจจะเกิดวิกฤตการเงินรอบใหม่ และมีโอกาสที่จะรุนแรงกว่าตอนปี 2008

“ปัจจุบันจะเห็นว่าเงินฝากของนักลงทุนถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำและอาจจะต่ำกว่าตอนปี 2008 ด้วยซ้ำ เเสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทองคำอาจถูกมองในฐานะของสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) มากขึ้น”

และ 3.เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในปีที่ผ่านมาสหรัฐเก็บภาษีได้เพียง 35% เท่านั้นถือว่าน้อยมาก โดยทางด้านโกลด์แมน แซกส์ มีการคาดการณ์ว่ารอบนี้หากสหรัฐยังเก็บภาษีได้แค่ 35-45% อาจจะมีโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ทั้งการเมืองระหว่างประเทศของทางฝั่งสหรัฐและจีน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ซึ่งหากมีข่าวนี้เข้ามาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำเพราะมองว่าราคาทองคำน่าจะยังไปต่อได้อีกไกล”

นางสาวฐิภากล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ของการลงทุนถ้าเห็นจังหวะการปรับตัวลดลงมาของราคาทองคำ อาจจะเป็นจังหวะให้ทยอยเข้าซื้อ เพราะเชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ได้ โดย YLG ให้กรอบแนวรับที่บริเวณ 1,986-2,009 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านที่บริเวณ 2,081-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคายังไม่สามารถผ่านได้ นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรสลับเข้ามาอีกครั้ง

ส่วนราคาทองคำในประเทศ ก็ค่อนข้างที่จะปรับตัวขึ้นได้ดีจากอานิสงส์เงินบาทที่อ่อนค่าและยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อตามทิศทางราคาทองคำโลก โดยให้แนวรับที่บาทละ 31,750-32,100 บาท ส่วนแนวต้าน 33,250-33,550 บาท

“ปีนี้ การลงทุนทองคำถือว่าเป็นหนึ่งตัวเลือกที่ดี จากที่ทางสมาพันธ์ทองคำโลกและสภาทองคำโลก (World Gold Council) ให้ไว้ว่า ควรจะมีสัดส่วนทองคำประมาณ 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด


อย่างไรก็ตาม ปีนี้อาจจะแนะนำว่านักลงทุนที่เคยลงทุนอย่าง aggressive อาจจะต้องเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ส่วนใครที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ต ก็แนะนำให้เพิ่มสัดส่วนทองคำ พร้อมกับการถือเงินสดเพิ่มขึ้นได้” นางสาวฐิภากล่าว