โค้งสุดท้ายรายงานงบฯ ไตรมาส 1/66 คัดหุ้นกำไรเด่น หลีกหุ้นกำไรทรุด

หุ้นเด่น
คอลัมน์ : เติมความคิด พิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX)

สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ปรับลงตลอดทั้งเดือน เม.ย. และต่อเนื่องมาถึงต้นเดือน พ.ค. จนหลุดจุดต่ำเดิมบริเวณ 1,518 จุด หลังตลาดขาดปัจจัยหนุน อีกทั้งมีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและปัญหาธนาคารของสหรัฐ (First Republic Bank เผย 1Q66 ยอดเงินฝากลดลง 40.8% สู่ 1.045 แสนล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตลาดคาด)

จึงกดดันให้มีแรงขายหุ้น big cap นำโดยกลุ่มพลังงาน (PTTEP, EA, TOP) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (KBANK, SCB, TISCO) รวมทั้งยังมีแรงขายในหุ้นที่มีปัจจัยลบเฉพาะตัวอย่าง DELTA, CBG และกลุ่ม JMART

ทั้งนี้ fund flow ยังชะลอการไหลเข้า โดยภาพรวมเดือน เม.ย. นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ราว 7.86 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ในเดือน เม.ย. 2566 พบว่า SET มีมูลค่าซื้อขายเบาบางแค่ 4.46 หมื่นล้านบาทต่อวัน ลดลง 23.8% MOM จากมีวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ และลดลง 38.0% YOY หลัก ๆ เกิดจากการลดลงของมูลค่าซื้อขายหุ้นขนาดกลางและเล็กตามแรงเก็งกำไรที่หายไป

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจมีมากขึ้น ส่วนประเด็นสำคัญภายในประเทศ ติดตามช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน Q1/66 ซึ่งจะมีบริษัทรายงานงบฯเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้น InnovestX ขอแนะนำกลุ่มหุ้นที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ครับ

1) กลุ่มหุ้นที่มีกำไรในปี 66-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้น ที่ฝ่ายวิจัยฯ InnovestX ให้คำแนะนำเป็น outperform และ valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. ซึ่งเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นกลุ่มหุ้น best of the best ประกอบไปด้วยหุ้นจำนวน 5 ตัว ได้แก่ AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF

2) กลุ่มหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาเติบโตดี YOY เลือก BJC, ADVANC, OSP และ ZEN

3) กลุ่มหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก KCE, MINT และ AOT ส่วนกลุ่มหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF, LPN, MST, SAWAD, QH, KTC, PSH, THRE, TCAP, MTC, KEX, KISS, TU, CBG, GFPT, BTG, BTS, BEM, JASIF, SAT, IIG และ NER

ส่วนปิดท้ายของคอลัมน์ฉบับนี้ ผมนำกลุ่มหุ้นที่แนะนำมาเลือกจัดพอร์ตหุ้น 5 ตัว ไว้เป็นแนวทางสำหรับท่านนักลงทุน ได้แก่

1) BBL หุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เพราะมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ตํ่ากว่าธนาคารอื่น ๆ และ valuation น่าสนใจ ขณะที่ 2Q66 คาดกําไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุดทั้ง YOY และ QOQ

2) BDMS มอง 1Q66 คาดกำไรปกติ 3.4 พันล้านบาท ลดลง 1% YOY แต่เพิ่มขึ้น 9% QOQ จากรายได้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่พัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ ๆ คาดจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2566 คาดกำไรเติบโต 12% YOY

3) BJC มอง 1Q66 คาดว่ากำไรจะเติบโต YOY โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น และปี 2566 คาดว่ากำไรปกติจะเติบโต YOY จากยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้นและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

4) ADVANC มอง 1Q66 คาดกำไรปกติ 6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% YOY ขณะที่ 2Q66 กำไรจะเติบโต QOQ จากการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ FBB ที่ลดน้อยลง รวมถึงรายได้บริการ โรมมิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นตามธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัว

5) MINT คาดการดำเนินงานและผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นใน 2Q66 เนื่องจากโรงแรมในยุโรปจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และปี 2566 คาดการณ์กำไรปกติที่ 6.2 พันล้านบาท โดยการดำเนินงานในยุโรปผ่านทาง NHH จะยังดีต่อเนื่องจากการกลับมาเดินทางเพื่อธุรกิจ

แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดี