หุ้น “โรงแรม-แอร์ไลน์” กำไรฟื้น-อานิสงส์ท่องเที่ยวคึกคัก

หุ้น-โรงแรม-แอร์ไลน์

ไตรมาสแรกปี 2566 ที่ผ่านมา “การท่องเที่ยว” คือเครื่องยนต์สำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.7% ในขณะที่การส่งออกหดตัว ซึ่งมองไปข้างหน้า ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง

หลังจากแย่หนักมาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพียงแต่ว่านักท่องเที่ยวจีนอาจจะมาน้อยกว่าที่คาดหวังไปบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจจีนฟื้นช้ากว่าที่มองกันไว้เดิม อย่างไรก็ดี การที่ภาคการท่องเที่ยวไปได้ดีก็ย่อมส่งผลดีต่อหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยวไปด้วย

โดย “ภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ” ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์หุ้นโรงแรม 3 ตัวด้วยกัน ได้แก่ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT), บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ซึ่งผลประกอบการไตรมาส 1 ฟื้นตัวแตกต่างกัน

โดย MINT ขาดทุนสุทธิ 647 ล้านบาท เนื่องจากมีสัดส่วนโรมแรมในยุโรปถึง 50% ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้กำไรลดลง แตกต่างจาก CENTEL ที่มีกำไรสุทธิ 629 ล้านบาท และ ERW มีกำไรสุทธิ 239 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้น

ทั้งเทียบไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) เพราะสัดส่วนโรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ และเป็นช่วงไฮซีซั่น บวกกับได้ปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565

ส่วนแนวโน้มในช่วงไตรมาส 2 คาดว่ากำไรโรงแรมส่วนใหญ่ น่าจะลดลงตามฤดูกาล โดยเฉพาะโรงแรมในไทย เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ฉะนั้น CENTEL และ ERW กำไรจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก ขณะที่ MINT น่าจะมีกำไรที่ดีขึ้น

เพราะจะได้ปัจจัยบวกจากไตรมาส 2 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของฝั่งยุโรป ดังนั้น ในไตรมาส 2 หุ้นโรงแรมที่โดดเด่น แนะนำ MINT โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 38 บาท/หุ้น

“ภาสกร” กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอีกตัว อย่างหุ้นสนามบิน บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) กำไรไตรมาส 2 (1 ม.ค.-31 มี.ค. 2566) ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 1,860 ล้านบาท เติบโตตามทิศทางของการเปิดประเทศและช่วงไฮซีซั่นที่ผ่านมา เช่นเดียวกับกลุ่มโรงแรม

แต่ในช่วงไตรมาส 2 คาดว่ากำไรน่าจะลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม AOT ยังมีปัจจัยหนุนจากการยกเลิกส่วนลด 50% สำหรับค่าบริการสนามบินและค่าเช่าทรัพย์สิน ก็น่าจะทำให้เห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 2 ไปได้ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 80 บาทต่อหุ้น

ตาราง หุ้นท่องเที่ยว

“ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาช่วงไตรมาสแรกยังคงสอดคล้องกับมุมมองของ บล.เอเซีย พลัส ที่คาดว่าทั้งปี 2566 นักท่องเที่ยวจะเข้ามาประมาณ 25 ล้านคน ซึ่งไตรมาส 1 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วประมาณ 26% ดังนั้น ไตรมาส 2 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลง เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ทั้งปียังเชื่อว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 25 ล้านคน”

ขณะที่ “ธีระพล อุดมเวศย์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา หุ้นโรงแรมมีผลประกอบการออกมาค่อนข้างดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เช่นเดียวกับหุ้นสายการบิน

เนื่องจากไตรมาสแรกเป็นช่วงไฮซีซั่น ทำให้เห็นว่ากำไรเริ่มมีขยับเข้าไปใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดมากขึ้น แต่ก็จะมีหุ้นบางตัวที่กำไรทะลุช่วงโควิดไปแล้ว อย่าง บมจ. การบินกรุงเทพ (BA) ที่มีกำไรสุทธิ 875.1 ล้านบาท เพิ่ม 185.8% และมียอดผู้โดยสารทะลุ 1.1 ล้านคน

ขณะที่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะลดลง ทำให้รายได้ต่าง ๆ ที่เคยดีในไตรมาสแรกน่าจะแผ่ว แต่คาดว่าเมื่อถึงไตรมาส 3 นักท่องเที่ยวจีนน่าจะทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้เที่ยวบินจากจีนน่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนโรงแรมช่วงไตรมาส 2 ถ้าเป็นโรงแรมในไทยส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เงียบสุดของปี

และคาดว่ากำไรก็น่าจะลดลง และค่อย ๆ เริ่มดีขึ้นช่วงไตรมาส 3 และไปพีก (เพิ่มขึ้นสูงสุด) อีกทีช่วงไฮซีซั่น ตอนไตรมาส 4

“จำนวนนักท่องเที่ยว โมเมนตัมน่าจะยังดีอยู่ แต่ว่าในช่วงไตรมาส 2 อาจจะลดต่ำลง ซึ่งเป็นปกติ เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของปี และทุก ๆ ปีอยู่แล้ว จากนั้นนักท่องเที่ยวจะทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป ดังนั้น จากเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่ระดับ 30 ล้านคน เชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้”

ดังนั้น หุ้นโรงแรมในระยะสั้น แนะนำ MINT น่าจะโดดเด่นในไตรมาส 2 และ 3 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของฝั่งยุโรป โดยเชื่อว่ากำไรจะกลับมาดี หลังจากขาดทุนในไตรมาสแรก ให้ราคาเป้าหมายที่ 40 บาท/หุ้น

ส่วนหุ้นที่ราคาปรับลดลงมาอย่าง CENTEL และ ERW ก็น่าสนใจ จากทั้งปีที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี โดยให้ราคาเป้าหมาย CENTEL ที่ 38 บาท/หุ้นและ ERW ที่ 50.50 บาท/หุ้น

“ส่วนหุ้นสายการบินก็ชอบทั้ง AAV, BA เพราะเป็นหุ้นที่เพิ่งเทิร์นอะราวนด์กลับมาได้ในไตรมาสแรก และปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของหุ้นกลุ่มนี้ เพราะการแข่งขันน้อยลง และราคาน้ำมันก็เริ่มปรับลดลงตั้งแต่ต้นปี บวกกับราคาตั๋วเครื่องบินที่ทยอยปรับขึ้นสูงกว่าก่อนโควิด โดย AAV ให้ราคาเป้าหมายที่ 3.70 บาท/หุ้น และ BA ให้ราคาเป้าหมาย 18 บาท/หุ้น”

รายงานแจ้งว่า ในส่วนของ บมจ. การบินไทย (THAI) ในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้รวม 41,507 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12,523 ล้านบาท ขณะที่ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) มีรายได้รวม 9,814.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 359.4 ล้านบาท

จากภาพข้างต้น ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของธุรกิจโรงแรมและสายการบิน