ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จับตา 3 ปัจจัยหนุนค่าเงินบาทผันผวนระยะสั้น

ค่าเงินบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินค่าเงินบาทเคลื่อนไหวกรอบกว้าง 33.80-35.40 บาทต่อดอลลาร์ ชี้แม้เกาะกลุ่มสกุลเอเชีย แต่ผันผวนสูงเป็นอันดับ 2 รองจากเยน-ญี่ปุ่น จับตา 3 ปัจจัยกำหนดทิศทางเงินบาท “ดอกเบี้ยสหรัฐ-การเมือง-เศรษฐกิจจีน”

วันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า นับจากช่วงต้นปี 2566 เงินบาทแกว่งตัวในกรอบกว้างท่ามกลางความไม่แน่นอนของ 3 เรื่องหลัก ได้แก่ มุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยเฟด (ซึ่งมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์) สถานการณ์ค่าเงินหยวนและเศรษฐกิจจีน และปัจจัยการเมืองของไทยที่เป็นประเด็นเพิ่มเติมเข้ามาในช่วงเดือน พ.ค. 2566

โดยแม้การเคลื่อนไหวของเงินบาทจะเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย แต่หากมองในมิติของความผันผวน คงต้องยอมรับว่าเงินบาทในปีนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก และเป็นสกุลเงินที่มีค่าความผันผวนสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทนั้น คาดว่าเงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบกว้าง โดยอาจปรับตัวอยู่ในช่วงประมาณ 33.80-35.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในระยะสั้น (คาดการณ์โดยธนาคารกสิกรไทย) เนื่องจากยังมีหลายตัวแปรที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องเพดานหนี้สหรัฐ ทิศทางดอกเบี้ยเฟด และสถานการณ์การเมืองไทย

ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ปัจจัยที่อาจมีน้ำหนักมากขึ้นน่าจะเป็นเรื่องทิศทางของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถประคองการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ก็จะช่วยเพิ่มแรงหนุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของค่าเงินบาท

ตลาดรอประเมินปัจจัยการเมืองไทย และดอกเบี้ยสหรัฐ

นับตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา เงินบาทแกว่งตัวในกรอบกว้างท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยหลัก 3 เรื่อง ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยในต่างประเทศและปัจจัยเฉพาะของไทย โดย 3 เรื่องหลัก ๆ ที่มีผลกระทบต่อสถานะการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติและค่าเงินบาท ประกอบด้วย 1) การพลิกกลับไป-กลับมาของมุมมองที่มีต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ 2) ทิศทางค่าเงินหยวนและมุมมองที่มีต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และ 3) สถานการณ์ทางการเมืองของไทย โดยเฉพาะในเดือน พ.ค. 2566

ในช่วงต้นปี 2566 แรงกดดันหลัก ๆ จะอยู่ในฝั่งที่ทำให้มีเงินทุนไหลเข้า เงินบาทแข็งค่า สวนทางกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง เนื่องจากตลาดการเงินเทน้ำหนักไปที่ทิศทางชะลอตัวของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว ขณะที่การเริ่มทยอยเปิดประเทศของจีนก็มีผลหนุนค่าเงินหยวนและทำให้เงินบาทแข็งค่าตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เงินบาทและทิศทางเงินทุนต่างชาติปรับเปลี่ยนไปอีกครั้งในเดือน พ.ค. 2566 โดยนักลงทุนต่างชาติทยอยลดพอร์ตการลงทุนในตลาดการเงินไทยลง (ซึ่งทำให้ภาพรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-25 พ.ค. 2566 ต่างชาติมียอดขายสุทธิหุ้นไทยสะสมประมาณ 89,144 ล้านบาท และมีสถานะไหลออกจากตลาดพันธบัตร 43,085 ล้านบาท)

ขณะที่เงินบาทเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังอ่อนค่าผ่านแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์มาตั้งแต่ในช่วงกลางเดือน พ.ค. 2566 เนื่องจากตลาดมีการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐ และค่าเงินหยวน ประกอบกับมีปัจจัยทางการเมืองของไทยที่ต้องติดตามเพิ่มเติม โดยในเรื่องดอกเบี้ยสหรัฐนั้น แม้เฟดจะใกล้สิ้นสุดรอบการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ข้อมูลตลาดแรงงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและความหนืดของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐก็ทำให้เฟดยังคงส่งสัญญาณในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงิน

ซึ่งอาจลดทอนโอกาสความเป็นไปได้ของการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ส่วนเงินหยวนก็กลับมาเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าตามจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่เป็นไปอย่างช้า ๆ ขณะที่ประเด็นทางการเมืองของไทยมีความไม่แน่นอน และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังต้องใช้เวลา

ความผันผวนของค่าเงินบาทในปี 2566 เพิ่มสูงขึ้นมาก และสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวบรวมค่าความผันผวนของค่าเงินในปี 2566 ซึ่ง NYU ประมาณค่าขึ้น ซึ่งจากโมเดลสะท้อนว่า ความผันผวนของสกุลเงินเอเชียส่วนใหญ่อาจขยับเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1 เดือนข้างหน้า โดยในส่วนของค่าความผันผวนคาดการณ์ในช่วง 1 เดือนข้างหน้าของเงินบาทอาจขยับขึ้นไปที่ 8.4% สูงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 8.1% โดยค่าความผันผวนของเงินบาทสูงเป็นอันดับที่ 2 ของสกุลเงินในฝั่งเอเชีย ตามหลังเพียงแค่เงินเยนของญี่ปุ่นเท่านั้น

ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินในฝั่งเอเชียและสกุลเงินหลักมีความผันผวน จะเป็นตัวแปรที่มาจากเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ โดยเฉพาะแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด แต่คงต้องยอมรับว่า ความผันผวนของเงินบาทในปี 2566 ที่อยู่ในกรอบสูงอาจสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ด้วยปัจจัยเฉพาะของไทย

โดยเฉพาะการแกว่งตัวของเงินบาทตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก (ค่าความผันผวนของราคาทองคำอยู่ที่ 12.3%) และปัจจัยทางการเมืองในประเทศ ซึ่งยังมีประเด็นที่ต้องติดตามหลายด้าน แม้ว่าการเลือกตั้งทั่วไปของไทยได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทนั้น คาดว่าเงินบาทจะยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบกว้าง โดยในระยะสั้น อาจปรับตัวอยู่ในช่วงประมาณ 33.80-35.40 บาทต่อดอลลาร์ (คาดการณ์โดยธนาคารกสิกรไทย) เนื่องจากมีหลายตัวแปรที่สามารถพลิกได้สองด้าน ซึ่งทำให้ยังคงมีความไม่แน่นอนและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ 1.กระบวนการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ ซึ่งหากสถานการณ์เป็นไปในเชิงลบก็จะเปิดความเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของสหรัฐ และอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

2.ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐที่เฟดอาจยังคงส่งสัญญาณในเชิงคุมเข้ม หากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐต้องใช้เวลานานในการปรับตัวกลับเข้าสู่เป้าหมาย (ซึ่งจะมีผลทำให้โอกาสที่จะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง) 3.สถานการณ์ทางการเมืองของไทยซึ่งหากยังมีความไม่แน่นอนก็จะเป็นปัจจัยที่จำกัดกรอบการฟื้นตัวของค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน

สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า อาจมีปัจจัยเพิ่มเติมจากเรื่องสถานการณ์และแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อภาพรวมเศรษฐกิจและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของค่าเงินบาท

ดังนั้น แม้สถานการณ์เงินบาทที่ผันผวน (มีจังหวะการเคลื่อนไหวที่ปรับเปลี่ยนและพลิกด้านได้เร็ว) จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญซึ่งผู้ประกอบการในภาคธุรกิจควรที่จะเตรียมรับมือกับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง และเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับกระแสรายรับ-รายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศ มาปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

อาทิ สัญญา Forward ซึ่งจะมีการกำหนดสกุลเงิน จำนวนเงิน ระดับอัตราแลกเปลี่ยน และกำหนดวันส่งมอบที่แน่นอน และ/หรือบัญชีเงินฝากในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ FCD ซึ่งจะเหมาะกับธุรกิจที่มีทั้งขารับและจ่ายในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ