ย้อนรอย STARK แจ้งงบฯ 9 เดือนแรกปี’65 กำไรกว่า 2 พันล้าน แถมระบุฐานะการเงินแข็งแกร่ง

STARK

ส่องงบการเงิน STARK ย้อนหลังปี’65 ระบุมีกำไรทั้งไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน แถมยืนยันฐานะการเงินบริษัทแข็งแกร่ง ก่อนไม่ส่งงบฯไตรมาส 4 และ งวดปี 2565

วันที่ 5 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่มีปัญหาการชำระหนี้หุ้นกู้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดมีการผิดชัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้หมายเลข STARK239A และ STARK249A ที่ครบกำหนดชำระเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2566 หลังจากก่อนหน้านี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 2 รุ่น มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัด และให้ชำระหนี้โดยพลัน อันเนื่องมาจากบริษัทไม่นำส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ตามกำหนด

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปดูก่อนหน้านั้น STARK ได้แจ้งผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 9 ก.ย. 2565 โดยรายงานว่าในไตรมาส 3/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 962 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 915 ล้านบาท และช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 2,233 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1,884 ล้านบาท โดยบริษัทได้แจกแจงรายละเอียดประกอบงบการเงินไว้ด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

-ผลประกอบการที่สูงขึ้นจากพลังร่วมทางธุกิจ (Business Synergies) ภายหลังการเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม เช่น การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบ การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีต้นทุนที่ลดลงและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการลดอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิต (Scrap Rate) เป็นต้น

-Core Revenues เพิ่มขึ้น 11% เป็น 2,167.48 ล้านบาท (Q3/65) มาจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ

-ราคาทองแดงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาทองแดง (LME Copper) โดยเฉลี่ยในครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ประมาณ 10,000 USD per ton โดยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงราคาประมาณ 9,700 USD per ton ในเดือนมกราคม 2565 ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าราคาทองแดงจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอุปสงค์ (Demand) ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯได้ติดตามสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดทองแดงอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ราคาทองแดงมีผลกระทบต่อมาร์จิ้น ของบริษัทฯ

อย่างไรก็ดี ในช่วงตรมาสที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากการปรับตัวของราคาวัตถุดิบหลัก เนื่องจากบริษัทมีนโยบายการบริหารแบบ Pass-Through หรือ Cost-plus Strategy ซึ่งคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จะมีการกำหนดราคาวัตถุดิบและจำนวนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ตามนโยบายการจัดซื้อของบริษัท ที่ไม่ให้มีการเก็งกำไรจากราคาวัตถุดิบ (No Speculaion) อีกทั้งบริษัทดำเนินการลงบัญชีอย่างรอบคอบและระมัดระวัง (Conservative Basis) ดังนั้น สินค้าคงเหลือและวัตถุดิบจะแสดงมูลค่าตามราคาทุนเท่านั้น ไม่มีการปรับมูลค่าตามราคาตลาด (Mark-to-Market)

-Adjusted Core EBITDA Margin เท่ากับ 26% (Q3/65) และ 23% (9M/65) ตามส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) ในแต่ละช่วงเวลา เนื่องมาจากการมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin ตลอดจนนโยบายในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ (Integrated Supply Chain Management)

-Net Profit (ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) เท่ากับ 956.04 ล้านบาท (Q3/65) และ 2,216.47 ล้านบาท (9M/65) ซึ่งเพิ่มขึ้น 43.53% จาก 912.51 ล้านบาท (Q3/64) และเพิ่มขึ้น 341.44% จาก 1,875.03 ล้านบาท (9M64) ตามลำดับ ตามผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง

-ฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมี Net Debt/Equity เท่ากับ 0.80x ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 ลดลงจาก 0.85x ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565

และหลังจากนั้น ในวันที่ 28 ก.พ. 2566 ทาง STARK แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทมีความจำเป็นต้องส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ล่าช้า ซึ่งล่าสุด บริษัทมีการแจ้งว่า จะเปิดเผยงบการเงินดังกล่าว ในวันที่ 16 มิ.ย. 2566 นี้