
ปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นอีกตลาดที่ผลตอบแทนติดลบถึง 9.4% แต่ปีนี้ขณะที่เงินเยนอ่อนค่า แต่หุ้นญี่ปุ่นพุ่งสวนตลาดหุ้นทั่วโลก กลับมาโดดเด่นในรอบหลายปี จากเงินเฟ้อที่ต่ำและนโยบายที่ผ่อนคลาย เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ
โดยข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ชี้ว่า กองทุนหุ้นญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นปีมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 16% สูงสุด นำโดยกองทุน SCBNK225E จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ผลตอบแทน 25.76%
รองมากองทุน ASP-NGF จาก บลจ.แอสเซท พลัส ผลตอบแทนที่ 25.43% ตามด้วยกองทุน SCBNK225, กองทุน SCBNK225D และ SCBRMJPซึ่งทั้ง 3 กองทุนมาจาก บลจ.ไทยพาณิชย์ ผลตอบแทนอยู่ที่ 25.11%, 25.10% และ 24.93% ตามลำดับ (ดูตาราง)
“วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นทำผลตอบแทนได้ดีขึ้นมา เพราะในปีที่ผ่าน ๆ มา จะไม่ค่อยเห็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นผลงานไม่ค่อยดี เท่าใดนัก และนักลงทุนให้ความความสนใจลงทุนน้อย แต่ปัจจุบันจะเห็นว่ามีการเข้าไปลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น
“หากดูจากผลตอบแทนในปี 2565 หุ้นญี่ปุ่นก็เป็นอีกตลาดที่ผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 9.4% ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ผลตอบแทนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 27.1% แล้ว เชื่อว่าหุ้นญี่ปุ่นน่าจะดีขึ้นได้อีกอย่างต่อเนื่อง”
ขณะที่ “บำรุงพงษ์ ชีวธนากรณ์กุล” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์หุ้นต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น มี 2 ปัจจัยที่ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดี คือ ราคาหุ้น (valuation) ที่ค่อนข้างถูก รวมถึงในเรื่องของการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังผ่อนปรน
ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและอยู่ในกรอบที่กำหนด ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นทำผลงานได้ค่อนข้างดี
นอกจากนี้ การที่นักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ความเห็นว่าหุ้น trading firm ของญี่ปุ่นมีราคาถูก และเหมาะที่จะเข้าไปซื้อและซื้อเพิ่ม ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดีมากเกือบจะ 100% เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจ
ด้าน “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นญี่ปุ่นมาจากทั้งการที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เปิดพอร์ตเข้าไปซื้อหุ้น 5 แห่งในญี่ปุ่น และการที่ญี่ปุ่นยังดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายสวนทางกับทั่วโลก
รวมถึงการที่บริษัทที่ทำการค้าขายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ ก็ส่งผลต่อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กให้ปรับตัวขึ้น
ขณะที่แม้จะมองดูมีแต่ปัจจัยบวก แต่การที่ดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายก็มีปัญหาคือค่าเงินเยนที่เริ่มอ่อนค่าเร็วเกินไป และตอนนี้น่าจะอ่อนค่าเร็วที่สุดในฝั่งเอเชียเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ซึ่งการอ่อนค่าแบบนี้อาจจะดีกับส่งออก แต่ไม่ดีกับการนำเข้า ธนาคารกลางจึงอาจจะมีความคิดที่จะหยิบเงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ซึ่งจากประเด็นนี้ก็ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีการปรับฐานลง
“หลังจากนี้คาดว่าญี่ปุ่นน่าจะอยู่ในช่วงการปรับฐาน เพราะกังวลเรื่องของการกลับไปใช้นโยบายแบบตึงตัว เพื่อสกัดค่าเงินที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม การปรับฐานลงมาประมาณ 5-10% และยังมีพื้นฐานที่ดี โดยที่นโยบายยังคงดำเนินไปแบบผ่อนคลายไม่ได้ตึงตัวและเศรษฐกิจเติบโต ก็เป็นจังหวะให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสมได้ ซึ่งในอนาคตคาดว่าน่าจะยังมีอัพไซด์อยู่”