ลดค่าไฟ-น้ำมัน “หุ้นโรงไฟฟ้า-ปั๊มน้ำมัน” กระอัก! กำไรดิ่ง

“การปรับลดราคาน้ำมันลงมาทีเดียว 2 บาท อย่างน้อยโดนแน่ ๆ ก็คือโดน Stock Loss ผลกระทบตรงนี้จะอยู่ราว ๆ ประมาณ 1-4% แล้วแต่ราย แต่สูงสุด 4% โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับค่าการตลาด ส่วนการปรับลดราคาค่าไฟ GPSC กับ BGRIM เราประเมินไว้ว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 8% ของกำไรสุทธิปีหน้า โดยในส่วนของ GULF ผลกระทบอยู่ประมาณ 1-2%” 

Prachachat Wealth เล่าเรื่องการลงทุน สัปดาห์นี้ จะไปร่วมพูดคุยกับคุณจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เพื่อวิเคราะห์ว่ามาตรการปรับลดค่าไฟฟ้าและปรับลดราคาน้ำมันดีเซล จะมีผลเอฟเฟ็กต์ต่อภาคธุรกิจในกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มพลังงานอย่างไรกันบ้าง

Q : เบื้องต้นวิธีการปรับลดค่าไฟและราคาน้ำมันดีเซล รัฐจะดำเนินการอย่างไร

“จักรพงศ์” กล่าวว่า วิธีการปรับลดก็คือ จะใช้กลไกในเรื่องของภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมันฯเป็นตัวช่วยอุดหนุน ให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลงมา ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร

ถ้าเราดูปัจจุบัน กองทุนน้ำมันฯใช้เงินอุดหนุนน้ำมันดีเซล ประมาณ 7 บาทต่อลิตร อันนี้ราคาน้ำมันประมาณ 32 บาท เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอยากให้ต่ำกว่า 30 บาท นั่นหมายความว่าลดไป 2 บาท จากเคยสนับสนุนอยู่ 7 บาท ก็ต้องสนับสนุนเป็น 9 บาท

เพียงแต่ 9 บาท ในอนาคตจะไม่ได้อุดหนุนโดยกองทุนน้ำมันฯอย่างเดียว อาจจะลดภาษีสรรพสามิตมาช่วย ซึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ 6 บาทต่อลิตร ถ้าสมมุติว่าเอาภาษีสรรพสามิตออกไปเลย 6 บาท นั่นหมายความว่าอีก 3 บาท กองทุนน้ำมันฯยังต้องอุดหนุนต่อ

แต่ถ้าสมมุติลดภาษีสรรพสามิตแค่ 4 บาทต่อลิตร เหลือเก็บอีก 2 บาทต่อลิตร เหมือนรัฐบาลที่แล้ว กองทุนน้ำมันฯก็ต้องยังสนับสนุนลิตรละ 5 บาท นี่คือวิธีการคร่าว ๆ

และถามว่าในเชิงของกองทุนน้ำมันฯ ณ ปัจจุบัน สถานะอยู่ได้นานมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้ติดลบอยู่ 6 หมื่นล้านบาท ถ้าเราเอายอดสูงสุดของรัฐบาลที่แล้วเป็นตัวตั้งที่ 1.3 แสนล้านบาท ด้วยการอุดหนุนเอาว่าลิตรละ 5 บาท จะอยู่ได้ประมาณ 6-7 เดือน ก็พ้นหน้าหนาวพอดี ดังนั้นก็เชื่อว่าจะยังสามารถที่จะดำเนินการโดยใช้กลไกนี้ได้

Q : ผลกระทบต่อกำไร หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าน่าจะได้รับผลกระทบแน่นอน แต่หุ้นปั๊มน้ำมันจะได้รับผลกระทบมั้ย

“จักรพงศ์” กล่าวต่อว่า จะได้รับผลกระทบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าค่าการตลาดเปลี่ยนหรือเปล่า โดยในเชิงของการปรับลดราคาน้ำมันลงมาทีเดียว 2 บาท อย่างน้อยโดนแน่ ๆ ก็คือโดน Stock Loss เพราะว่าปั๊มน้ำมัน ต้องมีน้ำมันอยู่ถังใต้ดินตลอดเวลา อยู่ตามปั๊ม

เพราะฉะนั้นซื้อน้ำมันมาอยู่ถังใต้ดินวันที่ 19 ที่ราคาหนึ่ง พอวันที่ 20 ตี 5 เปลี่ยนราคาเป็น 30 บาทต่อลิตร ก็โดนทันที 2 บาทต่อลิตร อะไรแบบนี้

เอฟเฟ็กต์กำไรสูงสุด 4%

ผลกระทบตรงนี้จะอยู่ราว ๆ ประมาณ 1-4% แล้วแต่ราย แต่สูงสุด 4% โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับค่าการตลาด แต่ถ้าค่าการตลาดมีการปรับขึ้นหรือปรับลด ตรงนี้เป็นไปได้ทั้งสองทาง ปรับขึ้นเผลอ ๆ เป็นบวกด้วยซ้ำ แต่ถ้าปรับลงเนื่องจาก gap ในการบริหารจัดการแคบเข้า เพราะระดับราคาต้นทุนสูงขึ้น แต่ว่าในส่วนของราคาขายแคบลง ตรงนี้ก็มีโอกาสที่มาร์จิ้นจะถูกดดันได้ แต่ ณ วันนี้เรายัง assume อยู่ว่า marketing margin ไม่เปลี่ยน

Q : หุ้นโรงไฟฟ้าตัวไหนที่จะได้รับผลกระทบหนักสุด

“จักรพงศ์” กล่าวอีกว่า การปรับลดราคาค่าไฟจาก 4.45 บาท/กิโลวัตต์/ชั่วโมง ลงมาเหลือ 4.10 บาท เราเชื่อว่าเขาจะทำผ่านในเรื่อง Ft ซึ่งเดิมสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติอนุมัติอยู่แล้ว ให้ลด Ft ลงในงวดเดือนกันยายนจนถึงเดือนธันวาคม

จากเดิมที่ให้ลด 24 สตางค์ โดยประมาณ ตอนนี้ก็ลดเพิ่มอีก 10 สตางค์ เป็น 35 สตางค์ ค่าไฟก็จะมาอยู่ที่ 4.10 บาทได้

พอลด Ft คนที่ได้รับผลกระทบ ก็จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกก็คือโรงไฟฟ้า SPP และกลุ่มที่สองคือ พวกผู้ประกอบการพลังงานทดแทน (renewable energy) เพราะรายได้อ้างอิงอยู่กับตัวค่าไฟฐาน+Ft และ +Adder (ราคารับซื้อไฟฟ้า) เพราะฉะนั้นพอ Adder เปลี่ยนแปลง ก็กระทบรายได้ (Revenue)

GPSC-BGRIM หนักสุด

ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า SPP ก็จะมี GPSC กับ BGRIM เราประเมินไว้ว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 8% ของกำไรสุทธิปีหน้า โดยในส่วนของ GULF ก็มีพาร์ตหนึ่งที่เป็น SPP เช่นเดียวกัน แต่ด้วยกำไร (Earnings) ส่วนใหญ่เขามาจาก IPP ก็คือโรงไฟฟ้าอิสระขนาดใหญ่ ตรงนี้ก็เลยทำให้ผลกระทบอยู่ประมาณแค่ 1-2% เท่านั้น

Q : ตามที่ รมว.พลังงาน จะปรับลดราคาน้ำมันเบนซินตามมาอีก ตรงนี้จะมีผลเอฟเฟ็กต์อย่างไรในอนาคต

ในเรื่องของการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลง นโยบายยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการปรับเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือเป็นการปรับทุก ๆ ลิตร ที่ถูกขายในประเทศไทย

ถ้าปรับเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เราเชื่อว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัย เพราะว่ากลุ่มนี้ปริมาณการใช้น้ำมันไม่สูงมาก เหมือนกับในกรณี LPG ไตรมาสหนึ่งแค่ 10 ล้านบาทเท่านั้นเอง ที่ ปตท. มีการอุดหนุนอยู่

แต่ถ้าปรับลดทุกลิตร โดยการผ่านการปรับลดค่าการตลาด จะกระทบค่อนข้างมีนัย เพราะว่าน้ำมันเบนซินส่วนใหญ่ คิดเป็น 25-45% ของน้ำมันที่ขายกันอยู่ในปั๊ม แล้วแต่แบรนด์

Q : หนักสุดก็น่าจะเป็น OR ใช่มั้ย ถ้าดูจากปริมาณการขาย

คือถ้าเป็น absolute amount เป็นรูปตัวเงิน OR เยอะที่สุด เพราะมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ที่สุด แต่ถ้าคิดเป็น percentage to earnings PTG จะเยอะกว่า เพราะเขาเป็น pure play ขายผ่านแต่สถานีบริการ ขณะที่ OR ยังมีขายส่งเชิงพาณิชย์ และมี Non-Oil ค่อนข้างใหญ่

Q : มุมของการลงทุน หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า-หุ้นพลังงาน ตัวไหนปลอดภัยที่สุดจากถูกมาตรการรัฐแทรกแซง

ถ้าตัวที่ปลอดภัย ต้องเป็นตัวที่มีโรงไฟฟ้าประเภท IPP เยอะ ๆ และมี SPP น้อย หรือ Renewable จะต้องเป็นลักษณะฟิกซ์ราคาขายตลอดอายุสัญญา ยกตัวอย่างเช่น EGCO, GULF, RATCH