เปิด 4 รูปแบบการลงทุน “หุ้นกลุ่มพลังงาน” สอดรับแต่ละวัฏจักรเศรษฐกิจ

บทความโดย "กรรณ์ หทัยศรัทธา" 
นักกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี

วันที่ 14 กันยายน 2566 ถ้าพูดถึง “อุตสาหกรรมทรัพยากร” ในตลาดหุ้นไทยโดยประเมินจากมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) พบว่า มีสัดส่วนอยู่ที่ 17% ซึ่งสูงกว่าในตลาดหุ้นโลกที่มีสัดส่วนอยู่เพียง 7% เท่านั้น

ทำให้ในภาพรวมของธุรกิจด้านพลังงาน ยังคงมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ไม่น้อย และหากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า “ตลาดหุ้นไทย” มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับ “ราคาน้ำมันดิบ” มากกว่าสินค้าพลังงานอื่นด้วย

และไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นช่วงดีหรือไม่ การลงทุนในกลุ่มพลังงานย่อมส่งผลกระทบต่อดัชนี SET Index ทั้งสิ้น ดังนั้นเราจะหาโอกาสจากการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานในภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้อย่างไร มาดูกัน

โดยช่วงที่ราคาพลังงานมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ผสมผสาน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนไทยจึงต้องไหวตัวเร็วที่สุด และต้องรู้ให้ทันเสมอว่า สถานการณ์พลังงานแบบไหน จะเป็นผลบวกหรือผลลบกับตลาด ต้องเลือกหุ้นในกลุ่มพลังงานแบบไหน และลงทุนอย่างไร

เมื่อมองย้อนไปในอดีต พบว่าตลาดหุ้นไทยมักเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบ มากกว่าสินค้าพลังงานอื่น มุมมองของนักกลยุทธ์ เราสามารถแบ่งสถานการณ์ตลาดได้เป็น “4 รูปแบบ” ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ และอัตราแลกเปลี่ยน

รูปแบบที่หนึ่ง เศรษฐกิจเร่งตัว ราคาน้ำมันดิบสูง และเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เหมาะกับกลุ่มพลังงานกลางน้ำ

ช่วงเวลานี้ เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด ตลาดเรียกรวมว่า Risk-on มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเติบโตปกติ หรือหลังผ่านพ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัว

การจับจ่ายใช้สอย การค้า และการลงทุน เป็นกิจกรรมสร้างกำลังการบริโภค (Demands) ส่งผลให้ราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนทางการผลิตและการขนส่งปรับตัวขึ้น สวนทางกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐที่จะอ่อนค่าลง

ในเศรษฐกิจรูปแบบนี้ การลงทุนกลุ่มพลังงานที่มักสร้างผลตอบแทนได้ดีมักเป็นกลุ่ม “กลางน้ำ” (Midstream) เช่น โรงกลั่น หรือ ปิโตรเคมี ที่ปรับรายได้ขึ้นตามราคาต้นทุน และสร้างรายได้ส่วนเพิ่มได้จากสินค้าสำเร็จรูปไปพร้อมกัน

รูปแบบที่สอง เศรษฐกิจชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบลดลง และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เหมาะกับกลุ่มพลังงานปลายน้ำ

เป็นเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับรูปแบบที่หนึ่ง ตลาดจึงเรียกกลับกันว่า Risk-off ส่วนใหญ่จะเกิดจากดีมานด์ชะลอตัว หรือมีวิกฤตเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันจึงปรับตัวลง นักลงทุนหลบเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและเงินดอลลาร์สหรัฐ

แม้นักลงทุนหลายท่านอาจกังวลว่าทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง อาจเป็นลบต่อ Sentiment ของกลุ่มพลังงาน แต่แท้จริงแล้วภาวะ Risk-off ยังเหมาะกับการลงทุนในกลุ่มหุ้นพลังงาน “ปลายน้ำ” (Downstream) เช่น ผู้ค้าปลีกน้ำมัน เหตุผลสำคัญมาจากราคาน้ำมันดิบที่เป็นขาลงมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ราคาขายปรับตัวลงช้า บริษัทจึงมักได้รับประโยชน์จากค่าการตลาดน้ำมัน (Marketing Margin) ที่กว้างขึ้น

รูปแบบที่สาม ราคาน้ำมันดิบสูง พร้อมกับเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เน้นพลังงานต้นน้ำ

เรียกรูปแบบนี้ว่าเศรษฐกิจจำยอม เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งและมักมีที่มาจากอุปทาน (Supply) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนตลาดมองว่าเป็นความเสี่ยงมากกว่าโอกาส

ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปี 2022 ความกังวลจากสงครามส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นและตลาดปิดรับความเสี่ยงทันที

ด้วยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว การลงทุนที่โดดเด่นจะหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มพลังงาน “ต้นน้ำ” (Upstream) เช่น บริษัทสำรวจและผลิต เพราะได้ประโยชน์สูงสุดทั้งจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและการตีมูลค่าเพิ่มของสินค้าคงเหลือ

รูปแบบที่สี่ ราคาน้ำมันดิบร่วงแต่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เป็นรูปแบบเดียวที่อาจต้องเปลี่ยนไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน

เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับกำลังซื้อ ตั้งชื่อว่าเศรษฐกิจความฝัน เหตุการณ์นี้ในอดีตเกิดได้ใน 2 สาเหตุหลัก อย่างแรกมีการเปลี่ยนแปลงด้าน Supply อย่างมีนัย เช่น การค้นพบนวัตกรรมของการผลิตน้ำมัน Shale oil ในสหรัฐอเมริกา ทำให้ความคาดหวังว่าปริมาณน้ำมันจะเพิ่มขึ้น พร้อมกับมุมมองตลาดที่เข้าโหมด Risk-on

สาเหตุที่สอง เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้บางเศรษฐกิจชะลอตัว สวนทางกับบางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว เช่น ในประเทศไทย รูปแบบนี้เกิดขึ้นในช่วงการสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดงในปี 2010 ทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รูปแบบนี้เป็นเศรษฐกิจรูปแบบเดียวที่ควรเน้น Non-oil กลุ่มการลงทุนที่โดดเด่นในอดีต คือ กลุ่ม Technology

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว นักลงทุนควรเลือกหุ้นพลังงานแบบไหน ?

สำหรับนักกลยุทธ์ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมองให้ออกว่าปัจจุบันเราอยู่ในเศรษฐกิจรูปแบบใด และกำลังจะพัฒนาไปเป็นรูปแบบไหน

ในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าโลกกำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจจำยอม และแนวโน้มหลักกำลังมุ่งไปสู่เศรษฐกิจชะลอตัว

เห็นได้ชัดจากราคาน้ำมันในปัจจุบันที่สูงพร้อมกับเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า OPEC+ คงขยายเวลาลดกำลังการผลิต สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนล่อแหลม ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนจากจีน

บนสถานการณ์นี้ นักลงทุนควรมีการลงทุนกลุ่มต้นน้ำไว้เพื่อหาโอกาสจากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อ โดยผมมองว่าหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้ คือ PTTEP

ระยะถัดไป ผมเชื่อว่าโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเศรษฐกิจหลักที่ต้องจับตาในระยะถัดไป ไม่ใช่แค่จีน แต่อาจรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา ที่เข้าสู่ช่วงปีงบประมาณใหม่ที่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังได้ บวกกับดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ความเสี่ยง Hard Landing ของเศรษฐกิจโลกจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

กลยุทธ์หุ้นพลังงาน ผมจึงมองไปที่ธุรกิจปลายน้ำอย่าง ORที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากทิศทางราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน มีต้นทุนหลักคือราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มลดต่ำลง ขณะที่ราคาหน้าปั๊มมักปรับตัวลดลงช้ากว่า รายการค่าการตลาด จึงทรงตัวดีกว่าหุ้นพลังงานอื่น

แต่ถ้าใครคิดไม่เหมือนผม และเชื่อว่าเศรษฐกิจอาจเร่งตัวขึ้นเลย ก็สามารถเพิ่มการลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นอย่าง TOP ที่ค่าการกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่เติบโต และสต็อกน้ำมันดิบมีโอกาสถูกตีมูลค่าเพิ่มไปพร้อมกัน

ถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่านักลงทุนคงเข้าใจหลักการและรูปแบบของการลงทุนในธุรกิจพลังงานแล้วไม่มากก็น้อย

สำหรับตลาดหุ้นไทยที่มีสัดส่วนของหุ้นในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคสูง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันหรือพลังงาน ก็ควรทำความเข้าใจรูปแบบของการลงทุนเหล่านี้ไว้ เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงดีหรือไม่ดี การลงทุนเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อ SET Index อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้