ทำไม ? ทรีนีตี้มองปี‘67 หุ้นไทย Outperform หุ้นโลก ให้เป้า SET 1,662 จุด

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

ทำไม ? บล.ทรีนีตี้มองปี 2567 หุ้นไทย Outperform หุ้นโลก ให้เป้าดัชนี SET Index ที่บริเวณ 1,662 จุด

วันที่ 25 ตุลาคม 2566 ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 13% เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ผ่านการขึ้นดอกเบี้ยหลาย ๆ ครั้งของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี

ประกอบกับสภาพคล่องภายในประเทศที่ลดลงอย่างมาก สะท้อนจากการเติบโตของปริมาณเงินสภาพคล่องภายในประเทศ (M2 Growth) เช่น เงินฝากธนาคาร, เงินลงทุนต่างประเทศ ที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี ทำให้ขาดแรงส่งที่จะช่วยให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยนับจากต้นปีนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไปแล้วกว่า 1.7 แสนล้านบาท หรือเกือบ 84% ของเม็ดเงินที่ไหลเข้าในปี 2565

สำหรับในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ประเมินว่าน่าจะเห็นฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออกที่น้อยลงไปได้ เพราะที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในหุ้นไทยไปมากแล้ว

โดยภาวะของตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังคงค่อนข้างผันผวน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลักคือ 1.ทิศทางดอกเบี้ยเฟด ที่จะมีการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือวันที่ 1 พ.ย. และวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งมองว่าจะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หากออกมาเป็นไปตามคาดการณ์ ตลาดทุนจะตอบสนองในทางบวก และ 2.ภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ที่ปัจจุบันความขัดแย้งยังไม่ขยายวงกว้าง

จึงให้กรอบแนวรับของดัชนี SET Index ปีนี้จะอยู่ที่บริเวณ 1,342 จุด กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 99.6 บาท ลดลง 5.4% จากปีก่อน และระดับบอนด์ยีลด์ 10 ปี อยู่ที่ 3.25% มีโอกาสเห็นอัพไซด์ของดัชนี SET Index ขึ้นไปได้ที่บริเวณ 1,460 จุด ทั้งนี้ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่สงครามสู้รบอยู่แค่พื้นที่ฉนวนกาซา

ADVERTISMENT

ในเชิงของ Asset Allocation ช่วงสั้น 1-2 เดือน แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น หรือเทอมฟันด์ และหาจังหวะลงทุนในหุ้นไทยที่มีปันผลสูง เนื่องจากราคาหุ้นได้ลดลงมากแล้ว ทำให้หุ้นที่มีปันผลสูงจะได้รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เมื่อเหตุการณ์ตะวันออกกลางคลี่คลาย“ ดร.วิศิษฐ์กล่าว

ดร.วิศิษฐ์กล่าวต่อว่า สำหรับภาพของตลาดหุ้นไทยในปี 2567 คาดว่าหุ้นไทยจะกลับมา Outperform หุ้นโลก เนื่องจากคาดว่าจีดีพีไทยจะขยายตัว 3.6% ซึ่งประเทศไทยจะเป็นไม่กี่ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพีดีกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยประเทศอื่น เช่น จีน, สหรัฐ, ยูโรโซน ต่างมีการเติบโตที่ถดถอย

ADVERTISMENT

ซึ่งปัจจัยหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทยคือ แรงส่งของภาคท่องเที่ยวที่จะขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ที่จะช่วยสร้างกำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศ แต่ต้องระวังเหมือนกัน เพราะจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บอนด์ยีลด์สูงขึ้นได้

ประกอบกับ ธปท.มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อแนวโน้มอุปสงค์ภายในประเทศ สาเหตุหลัก จากมาตรการลดค่าครองชีพและมาตรการกระตุ้นการบริโภค และผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (เมื่อลบเงินเฟ้อแล้ว) หรือ Real Bond Yields ของไทยจะสูงกว่าของสหรัฐเกือบ 0.5% ค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าขึ้น

แต่ต้องระวังปัจจัยลบคือ 1.อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลก ยังต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับขึ้นได้ บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปี จะต้องปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3% ต้น ๆ จากระดับปัจจุบันเกือบ 5%

2.มาตรวัดความเสี่ยงตลาดหุ้นผ่าน VIX Index บ่งบอกว่าตลาดหุ้นโลกยังไม่ได้ Pricing ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเต็มที่ (ยังไม่ถึงครึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Indicators สมัยช่วงโควิด-19)

3.ความไม่สงบสุขในตะวันออกกลางถ้ายืดเยื้อ และเป็นสาเหตุให้ราคาน้ำมันทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล เหมือนปี 2554 อาจจะเป็นสาเหตุให้หุ้นใน Emerging Market ปรับตัวลดลง 9% ใน 12 เดือน

รวมไปถึงปัจจัยที่เป็น Unknown อาทิ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปี 2567 ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไต้หวัน รวมทั้งโอกาสที่การสู้รบระหว่างฮามาสและอิสราเอลที่จะขยายวง กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล เช่น Hezballoh เข้าร่วมและอาจนำไปสู่สงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเปราะบางเกินกว่าที่จะรับมือสถานะสองสงคราม