
โดยรวมเสถียรภาพของไทยยังโอเค แต่ก็มีสัญญาณต่าง ๆ และตัวเลขต่าง ๆ รวมถึงมีเรื่องของบริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง ทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P เขาจะบอกสิ่งที่เขากังวล หากมันเสื่อมลงก็มีโอกาสในการปรับ outlook จาก stable outlook เป็น negative outlook ซึ่งตรงนี้จะเป็นเรื่องของการคลังที่มีความเสี่ยงอยู่”
เป็นคำกล่าวของ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เตือนว่า “อย่าชะล่าใจ” ในการเตรียมพร้อมรับมือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า ซึ่งผู้ว่าฯ ธปท. ย้ำว่า บทบาทหน้าที่ของ ธปท.ก็คือ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง “เสถียรภาพ”
“IMF” เตือนดูแล “เสถียรภาพ”
“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า จากที่ได้ประชุมร่วมกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีการพูดคุยกันว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงสูงขึ้น ฟื้นตัวช้า และไม่ทั่วถึง โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 3% “ต่ำสุดในรอบ 30 ปี” สะท้อนภาพการเติบโตที่ไม่สวยหรู
รวมถึงความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่โผล่มาค่อนข้างมาก และเป็นเรื่องที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เช่น ปัญหาซัพพลายเชน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ที่กระทบต่อการค้าโลก และปัญหาที่เกิดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ประเมินผลกระทบยากมาก และมองไม่ออก
“ของที่มองว่าไม่อาจเกิดขึ้นได้ ก็อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้เรื่องของ ‘เสถียรภาพ’ กลับมาเป็น ‘พระเอก’ ในเวทีโลกที่มีการเน้นเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งทางไอเอ็มเอฟก็แนะนำการทำนโยบาย ว่าควรเน้นจะเป็นเรื่อง ‘เสถียรภาพ’ คือ 1.เงินเฟ้อกลับเข้ากรอบเป้าหมายให้ได้
2.มีกันชนภาคการคลัง จะต้องอยู่ในโหมด fiscal consolidation (รัดเข็มขัดภาคการคลัง) โดยการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ เพื่อรองรับช็อกในอนาคต 3.ดูแลระบบสถาบันการเงินไม่ให้เปราะบาง และ 4.การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต เช่น ดิจิทัล green เป็นต้น”
ภาระการคลังพุ่งเสี่ยงฉุด เรตติ้ง
ซึ่งเมื่อพูดถึงเสถียรภาพของไทย “ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ในภาพรวมเสถียรภาพของไทยโดยรวมถือว่าค่อนข้างดี แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ เนื่องจากมีทั้งตัวเลขที่ค่อนข้างดี คือดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะเกินดุลในปีนี้และปี 2567 สัดส่วนหนี้ต่างประเทศ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
รวมถึงระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีเงินทุนที่เข้มแข็ง แต่ก็มีตัวเลขที่ไม่ค่อยดี เช่น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับ 90.7% ต่อ GDP แม้จะลดลงเล็กน้อย จากที่เคยขึ้นไปสูงในระดับ 94% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งตามมาตรฐานสากลของต่างประเทศ ของ BIS กำหนดหนี้ครัวเรือนไม่ควรเกิน 80% ต่อ GDP
ขณะที่หนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 61.7% ถือว่าสูงสุดที่เคยมีมา และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากช่วงปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งที่หนี้สาธารณะวิ่งอยู่ที่ราว 60% และช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 จะอยู่ที่ราว 40% จึงถือว่าหนี้สาธารณะวิ่งขึ้นมาค่อนข้างเร็ว
“ในแง่เสถียรภาพ จะเห็นว่าตัวเลขหนี้ไม่ค่อยดี ดังนั้น ในภาพรวมเสถียรภาพของไทยยังโอเค แต่ก็มีสัญญาณต่าง ๆ และตัวเลขต่าง ๆ ที่เริ่มไม่ค่อยดี รวมถึงมีเรื่องของบริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง ทั้ง Fitch, Moody’s หรือ S&P ที่เขาจะบอกสิ่งที่เขากังวล และหากมันเสื่อมลง ก็จะส่งสัญญาณว่ามีโอกาสในการปรับ outlook จาก stable outlook เป็น negative outlook”
โดยสิ่งที่เครดิตเรตติ้งกังวลก็คือภาคการคลัง ซึ่งก็สอดคล้องกับ IMF ที่อยากเห็นการขาดดุลการคลังลดลง และไม่ใช่แค่หนี้สาธารณะ แต่จะดูภาระหนี้ต่องบประมาณด้วย ซึ่งไม่อยากเห็นตัวเลขเกิน 12% แต่ตอนนี้ภาระหนี้ต่องบประมาณของไทยทยอยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 10% แล้ว
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็น safe haven แต่ปัจจุบันเป็น less of the safe haven คือความเป็น safe haven มันน้อยลง”
ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า สิ่งที่สถาบันจัดอันดับเครดิตเรตติ้งจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องหนี้ หรือภาระทางการคลังเท่านั้น แต่ยังพิจารณาถึงที่มาของนโยบายที่ก่อหนี้ หรือสร้างภาระทางการคลังเพิ่มด้วย
เก็บกระสุนการเงิน-การคลัง
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลขที่สะท้อนอีกตัวคือ การตอบสนองของตลาดการเงิน (market reaction) ในเรื่องของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ฟันด์โฟลว์ไหลออกไป -8.4 พันล้านดอลลาร์ เป็นการไหลออกทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตร (บอนด์) สวนทางกับประเทศอื่นที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า (net inflow) เช่น เกาหลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรืออินเดีย เป็นต้น สะท้อนภาพความกังวลต่าง ๆ
“การไหลออกของฟันด์โฟลว์ถือเป็นอันดับ 2 สูงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินก็จะเห็นความผันผวนที่ระดับ 8.9% รองจากเกาหลีที่อยู่ 9% ซึ่งโดยปกติจะเห็นญี่ปุ่น และเกาหลีมีความผันผวนสูงกว่า แต่ปัจจุบันไทยมีความผันผวนสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และผันผวนสูงหากเทียบกับอดีตที่ผ่านมา”
ปรับนโยบายสู่ “Resilience”
“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวอีกว่า จากบริบทที่เป็นแบบลักษณะนี้ ธปท.จะต้องปรับโหมด จากมองระยะสั้น เป็นระยะปานกลาง ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นและทนทาน (resilience) ซึ่งมี 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1.macro financial stability การใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนไป โดยเศรษฐกิจโตในระดับที่เหมาะสม เงินเฟ้อไม่สูง และดูแลให้ระบบการเงินไม่มีปัญหา หรือเปราะบางเกินไป
2.สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน คืองบดุล (balance sheet) เข้มแข็ง มีกระสุนเพียงพอ (policy space) ทั้งฝั่งดอกเบี้ยและภาคการคลัง และ 3.การเติบโตจากโอกาสใหม่ ๆ
“ตอนนี้เรามีกระสุน แต่ยังไม่ได้มาก โดยดอกเบี้ยนโยบายเราอยู่ระดับต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
กนง.จับตาปัจจัยสงคราม
ขณะที่ “ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส” รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธปท. ในฐานะกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า กนง.แต่ละรายมีจุดกังวลเหมือนกัน แต่ระดับความกังวลอาจไม่เหมือนกัน และความเห็นไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้สิ่งที่ กนง.กังวลเป็นเรื่องดอกเบี้ยที่ต่ำมานาน จะมีผลต่อพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนสูง
ขณะที่การประชุม กนง.รอบล่าสุดมีประเด็นเพิ่มเติมคือ เรื่องสงครามที่อาจมีผลต่อราคาน้ำมันและส่งต่อมายังเงินเฟ้อได้ จึงอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนและใส่ปัจจัยผลกระทบเข้าไปในการประชุม กนง.นัดถัดไป
“ถ้ามองไปข้างหน้า เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงก็ต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์”