
เงินบาทอ่อนค่า หลังรัฐบาลแถลงความชัดเจนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เติมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท หวังช่วยกระตุ้นเศรษบกิจระยะสั้น
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2566 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (6/11) ที่ระดับ 35.45/46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินบาทแข็งค่า ตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรโดยออกมาต่ำกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 188,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 3.8% ขณะที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4.1%
นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 51.8 จุดในเดือนตุลาคม จากระดับ 53.6 จุดในเดือนกันยายน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.0 จุด
ทั้งนี้ค่าเงินดอลลาร์ถูกกดดันต่อเนื่อง ภายหลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลการค้าในภาคสินค้าและบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้น 4.9% สู่ระดับ 6.15 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.99 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยการนำเข้าปรับตัวขึ้น 2.7% สู่ระดับ 3.227 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกปรับตัวขึ้น 2.2% สู่ระดับ 2.611 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดีดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนในเวลาต่อมาจากถ้อยแถลงสนับสนุนการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของนายนีล แคชแครี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามินนีแอโพลิส เพื่อสกัดและควบคุมเงินเฟ้อให้ปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่มีการเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้มีแนวโน้มปรับตัวลงแต่ก็ยังเร็วเกินไปที่เฟดจะประกาศชัยชนะในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
สำหรับในช่วงปลายสัปดาห์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุน หลังนายพาวเวลล์ ประธานเฟดได้กล่าวในงานเสวนาซึ่งจัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่า “เจ้าหน้าที่เฟดยังไม่มั่นใจว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงมากพอที่จะควบคุมเงินเฟ้อได้หรือไม่ และแม้ว่าเฟดไม่ต้องการให้นโยบายการเงินมีความเข้มงวดมากเกินไป แต่เราตระหนักว่าความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดคือความล้มเหลวในการควบคุมเงินเฟ้อ โดยขณะนี้เฟดกำลังประเมินว่าเราควรจะดำเนินการมากขึ้นอีกหรือไม่ และจากนั้นเราจะประเมินว่าควรตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเท่าใด”
นักลงทุนคาดเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ด้วยโอกาสที่ร้อยละ 90.7 ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้แม้ได้รับรู้ถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ แต่นักลงทุนมองว่า การเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าอาจจะถูกเลื่อนออกไป
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ประจำเดือนตุลาคมออกมาที่ระดับ 107.72 จุด ลดลง 0.31% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไป 10 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.60% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) อยู่ที่ระดับ 104.46 จุด เพิ่มขึ้น 0.66% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้เงินเฟ้อพื้นฐาน 10 เดือนแรกของปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.41%
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ ยังคงคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 จะอยู่ในช่วง 1.0-1.7% หรือมีค่ากลางอยู่ที่ 1.35% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน โดยอยู่ภายใต้สมมุติฐานสำคัญว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยปีนี้จะขยายตัว 2.5-3.0%
นอกจากนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานทบทวนภาวะเศรษฐกิจของไทยประจำปี 2566 (IMF Article IV Consultation) โดยคงการคาดการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ 2.7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 2.6% และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อไทยยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดังกล่าวยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับปี 2567 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.6% เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม ที่ 3.2% โดยระบุว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยอาจมีการหดตัวด้านการลงทุนและการส่งออกสินค้าจากผลพวงของอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอตัวลง แต่ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจะช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลแถลงความชัดเจนแจกเงิน 10,000 บาท
และในช่วงก่อนปิดตลาดของสัปดาห์ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่า หลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแถลงความชัดเจนในโครงการเงินดิทัลวอลเล็ตว่า ได้ทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการปรับเงื่อนไข โดยจะเป็นการเติมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ 6 แสนล้านบาท
แบ่งเป็นดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุมประชาชนราว 50 ล้านคน และอีก 1 แสนล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ พร้อมกับจะมีการออกโครงการ e-Refund เพื่อลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้า มูลค่าไม่เกิน 5 หมื่นบาท เพื่อให้คนที่ไม่ได้สิทธิในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสามารถเข้าร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้
นายกรัฐมนตรีระบุว่า นโยบายนี้จะส่งผลดีต่อประเทศ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เติมเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์นี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 35.38-35.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (10/11) ที่ระดับ 35.86/88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันจันทร์ (6/11) ที่ระดับ 1.0727/31 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (3/11) ที่ระดับ 1.0644/46 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงินยูโรถูกกดดันจากตัวเลขการส่งออกของเยอรมนีลดลงเกินคาดในเดือนกันยายน เนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอลงได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ทั้งนี้ การส่งออกของเยอรมนีลดลง 2.4% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งลดลงมากกว่าการคาดการณ์ในโพลสำรวจของ LSEG ที่การลดลง 1.1% นอกจากนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการของประเทศไทยในสหภาพยุโรปยังอยู่ต่ำกว่าระดับขยายตัว โดยตัวเลขของเยอรมนีอยู่ที่ 48.2 จุด ในเดือนตุลาคม ขณะที่ตัวเลขของฝรั่งเศสนั้นอยู่ที่ 45.2 จุด ในเดือนตุลาคม
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก Sentix ออกมาที่ระดับ -18.5 จุด นอกจากนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายนของเยอรมนีหดตัว 1.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ว่าจะหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 0.1% ซึ่งถูกกดดันจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ปรับตัวลงและส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต
ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0658-1.0756 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (10/11) ที่ระดับ 1.0672/74 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันจันทร์ (6/11) ที่ระดับ 149.54/55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (3/11) ที่ระดับ 150.28/30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เผยแพร่รายงานการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21-22 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ BOJ มีความเห็นตรงกันว่า BOJ จะเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนการเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยั่งยืนควบคู่ไปกับการเติบโตของค่าจ้าง
พร้อมมองว่าการยกเลิกใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบและยกเลิกการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) ควรจะเกิดขึ้นเมื่อ BOJ สามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี ในการประชุมครั้งถัดมาซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมนั้น คณะกรรมการ BOJ ประกาศปรับนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (YCC) โดยกำหนดเพดานกรอบบนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ระดับ 1.0% พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปีงบประมาณ 2566 ขึ้นสู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ระดับ 2.5%
นอกจากนี้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการในเดือนตุลาคมของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงสู่ระดับ 51.6 จุด จากระดับ 53.8 จุด ในเดือนกันยายน จากอุปสงส์ในประเทศที่อ่อนแอ นอกจากนี้กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเผยดุลบัญชีเดินสะพัดประจำเดือนกันยายน จากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเผยดุลบัญชีเดินสะพัดประจำเดือนกันยายนเกินดุลเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่ 2,736 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นจาก 2,279.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรรมการบางส่วนออกความเห็นว่าญี่ปุ่นอาจจำเป็นต้องเริ่มทยอยถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการยกเลิกอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 148.42-151.38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (10/11) ที่ระดับ 151.26/29 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ