ครม.เคาะ 780 ล้านบาท ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้โรงสี 4% รับซื้อข้าวชาวนา

ส่งออกข้าว

ครม.มีมติให้ความเห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับโรงสีในการซื้อข้าวจากเกษตรกรเก็บสต๊อก อัตรา 4% วงเงิน 780 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่เหมาะสม

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ปีการผลิต 66/67 (โครงการฯ) และอนุมัติกรอบวงเงินจำนวน 780 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

นายชัยกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2566 ได้มีมติเห็นชอบโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินงบฯ 780 ล้านบาท

ทั้งนี้ ข้าวจะออกสู่ตลาดพร้อมกันในช่วงต้นฤดู ส่งผลให้โรงสีและตลาดกลางมีความจำเป็นต้องเร่งจำหน่ายผลผลิตออกสู่ตลาด ดังนั้น โครงการฯ จะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการให้มีสภาพคล่องในการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร โดยการเก็บรักษาสต๊อกไว้และชดเชยค่าเสียโอกาสในการเก็บรักษาข้าว ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรมโดยวัตถุประสงค์

(1) เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวในช่วงต้นฤดูได้เพิ่มขึ้นในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม และผู้ประกอบการค้าข้าวสามารถรับซื้อข้าวเปลือกในช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาดจำนวนมากโดยไม่ต้องเร่งระบาย รวมทั้งเป็นการดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เพื่อทำให้ราคาตลาดข้าวภายในประเทศมีเสียรภาพ

(2) เพื่อส่งเสริมสินเชื่อทุกประเภทที่มีวัตถุประสงค์ในการเก็บสต๊อกให้ผู้ประกอบการค้าข้าว โดยไม่แทรกแซงตลดให้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี

โดยกลุ่มเป้าหมาย คือผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจะเก็บสต๊อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร โดยมีเป้าหมายเป็นขาวเปลือและข้าวสาร 4 ล้านตัน ในระยะเวลา 2-6 เดือน

รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐที่ผู้ประกอบการค้าข้าวเป็นลูกค้าอยู่ ตามมูลค่าข้าวเปลือกที่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เก็บสต๊อกไว้ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี และตามระยะที่เก็บสต๊อกไว้ 60-180 วัน นับตั้งแต่วันที่รับซื้อ ดังนี้

(1) การรับซื้อข้าวเปลือก : ผู้ประอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องนำเงินกู้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (ยกเว้น ธ.ก.ส. เป็นสัญญาเงินกู้) จากธนาคารไปดำเนินการรับซื้อข้าวเปลือกและข้าวสารจากเกษตรกร โดยทางตรงและทางอ้อม

(2) การเก็บสต๊อก : เก็บสต๊อกข้าวและข้าวเปลือกที่รับซื้อจากเกษตรกรในรูปข้าวเปลือก หรือสีแปรสภาพเป็นข้าวสารตามปริมาณและมูลค่าที่ได้รับจัดสรร

(3) การยื่นขอชดเชยดอกเบี้ย : เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินหรือสัญญากู้ยืมเงินครบกำหนดชำระให้ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐรับรองการกู้เงินและดอกเบี้ยที่จะได้รับการชดเชย โดยผู้เข้าร่วมโครงการฯ นำหลักฐานดังกล่าวยื่นการขอรับชดเชยอกเบี้ยต่อคณะอนุกรรมการจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป

ด้านกรอบเงินงบฯ–กรอบวงเงิน 780 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ค่าชดเชยดอกเบี้ย

(1) ข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 440 ล้านบาท

(ปริมาณ 2 ล้านตัน x 11,000 (ราคาต่อ 1 ตัน) x 4% x 6 เดือน)

(2) ข้าวเจ้า 340 ล้านบาท

(ปริมาณ 2 ล้านตัน x 8,500 (ราคาต่อ 1 ตัน) x 4% x 6 เดือน)

ค่าชดเชยดอกเบี้ยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการได้

นายชัย กล่าวว่า ด้านแหล่งเงินจะมาจากใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้กรมการค้าภายในเสนอขอรับการจัดสรรงบฯ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป

ระยะเวลาดำเนินการ-ตั้งแต่ ครม. มีมติ-31 ต.ค. 2568 ดังนี้

(1) ทั่วประเทศ (ยกเว้นภาคใต้)

  • การรับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต๊อกตั้งแต่ ครม. มีมติ – 31 มี.ค. 67
  • ระยะเวลาการเก็บสต๊อกข้าวตั้งแต่ ครม. มีมติ-31 ธ.ค. 67

(2) ภาคใต้

  • การรับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต๊อก 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 67
  • ระยะเวลาการเก็บสต๊อกข้าว 1 ม.ค.-28 ก.พ. 68

หน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก-กระทรวงพาณิชย์

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

(1) ผู้ประกอบการค้าข้าวมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร โดยไม่เร่งระบายผลผลิตออกสู่ตลาด

(2) สามารถดึงปริมาณข้าวส่วนเกินออกจากระบบตลาดได้นอกเหนือจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรด้านอื่น ๆ

(3) ราคาข้าวเปลือกในระบบตลาดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ

และเพื่อให้การดำเนินนโยบายของภาครัฐในระยะต่อไปเกิดการใช้จ่ายงบฯ ได้อย่างคุ้มค่า และเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ มีความถูกต้องและโปร่งใส เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการตรวจสอบเก็บสต๊อกข้าวของผู้ประกอบการค้าข้าว ประกอบกับ ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 ว่าในการจัดทำมาตรการโครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและภาคเกษตรต่อจากนี้ไป ให้พิจารณาดำเนินมาตรการ

โครงการในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร การพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน หรือเป็นการยกระดับกระบวนการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ของตนเองได้อย่างเพียงพอในระยะยาว และดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความยั่งยืนต่อไป